ชื่อเรื่องULTRAMAN
เรตติ้ง7
นักแสดง
จำนวนตอน2 ซีซั่น

รีวิวอนิเมชั่น ULTRAMAN

รีวิวอนิเมชั่น ULTRAMAN การกลับมาอีกครั้งของฮีโร่ยอดนิยมในยุค 90 ในช่วงยุค 90 นอกจาการ์ตูนอนิเมชั่นจะเป็นที่นิยมแบบสุดๆ แล้ว การ์ตูนแนวไลฟ์แอ็กชันเองก็ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน เด็กในยุคดังกล่าวจะต้องเคยผ่านช่วงเวลาที่เล่นบทบาทสมมติกับเพื่อนแล้วแย่งกันว่าใครจะเป็นขบวนการเรนเจอร์สีๆ ตัวไหน การสวมบทบาทเป็นไอ้มดแดงขี่จักรยานยนตร์สุดเท่ไปช่วยเหลือผู้คน หรือที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในช่วงนั้นอย่างฮีโร่จากต่างดาวนั่นก็คืออุลตราแมนนั่นเอง ความโดดเด่นคือเขาเป็นฮีโร่ที่มีความสามารถเป็นอย่างมาก แต่เพราะมาจากต่างดาวเลยมีเวลาจำกัดทำให้การต่อสู้ทั้งดุเดือดและเข้มข้น บีบหัวใจเด็กในยุคนั้นด้วยเสียงแจ้งเตือนหมดเวลาดังปิ๊ปๆ

หากคุณคิดถึงฮีโร่ที่เคยชื่นชอบในวัยเด็ก เราของแนะนำ ULTRAMAN ภาพยนตร์อนิเมชั่นที่ดัดแปลงมาจากการตูนมังงะต้นฉบับเรื่องอุลตราแมนโดยตรงผลงานของเออิจิ ชิมิสืและโทโมฮิโระ ชิโมกุจิ โดยใช้วิธีการเล่าเรื่องราวแบบ WHAT IF คือจะเกิดอะไรขึ้นหากมีบางสิ่งบางอย่างเปลี่ยนแปลงไปคล้ายกับซีรีส์เรื่อง WHAT IF… ของมาร์เวลนั่นเอง โดยจะต่อยอดเรื่องราวมาจากซีรีส์อุลตราแมนภาคที่ 1 ตั้งแต่ปี 1966

อย่างไรก็ตามซีรีส์เรื่องนี้มีเพียงแค่ 6 ตอน 2 ซีซั่นเท่านั้น ซึ่งถือว่าค่อนข้างน้อยในการเล่าเรื่องราวสเกลใหญ่อย่างอุลตราแมน แต่มันก็เหมาะกับวิถีชีวิตของคนในยุคนี้ที่ไม่ได้มีเวลามากมายในการรับชมซีรีส์ยาวๆ มากมาย อย่างไรก็ตามสำหรับใครที่ชื่นชอบอุลตราแมนเป้นทุนเดิมอยู่แล้ว เราขอแนะนำว่าไม่ควรพลาดโดยเด็ดขาด

อนิเมชั่น netflix พากย์ไทย

เรื่องราวในซีรีส์เรื่อง ULTRAMAN

ULTRAMAN เป็นเรื่องราวที่ต่อเนื่องมาจากซีรีส์ในยุค 60 อุลตราแมนได้ตัดสินใจแยกทางกับเจ้าหน้าที่หน่วยวิทยะอย่างชิน โดยเขาตัดสินใจมุ่งหน้ากลับสู่กาแล็คซี่แห่งแสงซึ่งเป็นที่มาของพวกเขา หลังจากนั้นก็ไม่มีการปรากฎตัวของมนุษย์ต่างดาวอีกเลย ทำให้โลกของเราสงบสุขนับแต่นั้นเป็นต้นมา แต่ในความจริงแล้วไม่ใช่พวกมนุษย์ต่างดาวหายตัวไป แต่พวกมันได้วิวัฒนาการตัวเองให้มีรูปลักษณ์เหมือนกับมนุษย์ อาศับปะปนอยู่กับมนุษย์ธรรมดาทั่วไป นอกจากนี้ยังสร้างเขตปกครองของตัวเองขึ้นมาอีกต่างหาก สามารถแฝงตัวได้อย่างยอดเยี่ยมจนมนุษย์ไม่ทันรู้สึกตัว

ชินที่ครั้งหนึ่งเป้นร่างสถิตย์ของอุลตราแมนก็ได้กลับมาใช้ชีวิตปกติ สร้างครอบครัวอย่างมีความสุข จนกระทั่งในวันหนึ่งลูกชายของเขาอย่างชิจิโร่ก็ได้พบว่าตนเองมีพลังวิเศษเช่นเดียวกับพ่อ เขาจึงได้พัฒนาชุดเกราะและออกมาปฏิบัติการปกป้องมนุษย์อีกครั้ง

ในซีซั่นแรกเรื่องราวจะพาเราไปทำความรู้จักกับโลกใบใหม่ที่ไม่มีการต่อสู้อีกต่อไปแต่มนุษย์ต่างดาวแฝงตัวเข้ามาอยู่บนโลกแทน พาเราไปทำความรู้จักกับอุลตราแมนอีก 2 คนนั่ก็คือผู้ครอบครองชุดเกราะของเอซอย่างเซจิและผู้ครอบบครองเกราะของเซเวนอย่างดัน

ในซีซั่นที่ 2 เริ่มจากการที่มีเหตุการณ์คนหายทั่วทั้งโลก โคทาโร่ผู้เป็นนักข่าวอิสระก็ได้สืบสวนสอบสวนหาสาเหตุที่เกิดขึ้น แต่ก็เกิดเรื่องวุ่นวายเหมือนชินจิโร่ก็เป็นหนึ่งในคนที่หายไปด้วย ทุกคนจึงต้องร่วมมือกันในการการตามหาความจริงให้สำเร็จ

ความรู้สึกหลังรับชมซีรีส์เรื่อง ULTRAMAN

ULTRAMAN เป็นซีรีส์ที่ทำงานภาพออกมาได้ดีเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะซีซั่น 2 ที่สามารถแก้ไขข้อผิดพลาดได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่มีฉากกระตุกหรือภาพไม่ชัดให้เห็นอีกต่อไป ถือว่าฟังกระแสตอบรับแล้วนำไปแก้ไข สิ่งที่เป้นเอกลักษณ์คือฉากการต่อสู้ที่ทำออกมาได้อย่างดุเดือด สนุกสนาน เป้นสิ่งที่ทำได้ดีมาตั้งแต่ในซีซั่นที่ 1

ที่น่าเสียดายคือการทำให้ภาคนี้เป็นภาคที่่ 2 เนื่องจากปมปริศนามีความใหญ่มากขึ้นกว่าเดิมแต่ดันมีเนื้อหาเพียงแค่ 6 ตอนเท่านั้น เป็นเวลาที่สั้นเกินกว่าจะเล่าเรื่องสเกลใหญ่ให้ออกมาครบถ้วนได้สำเร็จ มันทำให้เรื่องราวที่เต็มไปด้วยความสลับสซับซ้อน ปริศนามากมายา ดูยุ่งเหยิงไปจนหมด รีบเล่าทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นเรื่องปริศนาของตัวละครเก่า แนะนำตัวละครใหม่ มีตัวประกอบมากเกินความจำเป็นไปอีก มีบอสหลายตัว มันทำให้ผู้รับชมไม่ได้เพลิดเพลินไปกับเนื้อหาเท่าที่ควร แถมดูแล้วยังรู้สึกเหนื่อยอีกต่างหาก เรื่องราวที่ขาดมิติไปทำให้มันไม่สนุกเท่าที่ควร ผู้รับชมก็ไม่อินอย่างที่ควรจะป็นด้วย 

โดยรวมเป็นการเล่าเรื่องที่มีทั้งขาดและเกินในตัวเองเลยไม่กลมกล่อมเท่าที่ควร มีการวิพากษ์วิจารย์สังคมได้เจ็บแสบ มีความน่าติดตาม แต่การเร่งเล่าเรื่องราวมันทำให้เราอินตามตัวละครยาก เรื่องราวใหญ่แต่ดันมีเวลาเล่าน้อยเลยออกมาไม่เต็มอิ่มอย่างที่ควรจะเป็น มันจึงค่อนข้างน่าเสียดาย หากมีการขยายเวลาในการเล่าเรื่องมากกว่านี้ทุกอย่างจะดูไหลเลื่อนมากขึ้นกว่าเดิม ช่วยให้ผู้รับชมเข้าใจสถานการณ์และความเป็นมาเป็นไปของตัวละครได้ลึกซึ้งกว่าเดิม

อย่างไรก็ตามจากผลงานที่ผ่านมาเชื่อว่าทีมผู้สร้างจะนำเอาคำวิจารย์ไปแก้ไขในภาคถัดไปอย่างแน่นอน เนื่อจากภาคนี้ก็มีการทำเอาคำวิจารย์เกี่ยวกับงานภาพในภาค 1 มาปรับปรุง สำหรับใครที่รักอุลตราแมนก็อย่าลืมสนับสนุนและเอาใจช่วยทีมผู้สร้างเพื่อที่จะได้มีกำลังใจสร้างสรรค์ผลงานให้เราได้รับชมต่อไป itp slot

ตัวอย่างอนิเมชั่น ULTRAMAN

รีวิว อนิเมชั่น ULTRAMAN บางส่วนจาก beartai

Ultraman เป็นแอนิเมชันที่ดัดแปลงจากมังงะเรื่อง ‘อุลตร้าแมน’ ของ เออิจิ ชิมิสึ (Eiichi Shimizu) กับ โทโมฮิโระ ชิโมกุจิ (Tomohiro Shimoguchi) โดยเล่าเรื่องราวแบบ ‘What if’ (จะเกิดอะไรขึ้น) ที่ต่อยอดมาจาก ซีรีส์อุลตร้าแมนภาคแรกในปี 1966

เนื้อเรื่องของ Ultraman เล่าต่อจากตอนจบของซีรีส์อุลตร้าแมน(1966) เมื่ออุลตร้าแมนได้แยกตัวออกจากเจ้าหน้าที่หน่วยวิทยะ ฮายาตะ ชิน เพื่อเดินทางกลับสู่กาแล็กซีแห่งแสง ต่อมาโลกก็กลับมาสงบสุขอีกครั้งเพราะไม่มีมนุษย์ต่างดาวปรากฏตัวขึ้นบนโลกเลย แต่ทว่าความจริงแล้วเหล่ามนุษย์ต่างดาวไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่พวกเขาแปรเปลี่ยนสภาพตนเอง แฝงกายมาใช้ชีวิตปะปนกับมนุษย์โลก มีการสร้างเขตการปกครองของตน กลมกลืนซะจนมนุษย์แทบไม่รู้สึกตัว

ทางด้าน ฮายาตะ ชิน ผู้เคยเป็นร่างสถิตของอุลตร้าแมนก็ได้ใช้ชีวิตเรื่อยมา มีครอบครัวอย่างสงบสุข แต่ทว่าวันหนึ่งลูกชายของเขาอย่าง ฮายาตะ ชินจิโร่ ก็ได้ค้นพบว่าตัวเองมีพลังพิเศษที่หลับใหลอยู่ในตัวซึ่งได้รับสืบทอดมาจากพ่อ ชินจิโร่จึงใช้ชุดเกราะที่พัฒนาขึ้นมา ออกปฏิบัติการปกป้องผู้คน และเจ้าชุดเกราะนั้นก็ถูกเรียกว่า ‘อุลตร้าแมนสูท’ 

ในซีซันแรก เรื่องราวจะพาเราไปรู้จักโลกลึกลับที่ซ้อนทับอยู่ในโลกของเรา ซึ่งเป็นสถานที่อโคจรที่มีมนุษย์ต่างดาวมาปะปนมากมาย เนื้อหายังสะท้อนเรื่องราวของคนชายขอบผ่านมนุษย์ต่างดาวได้ดีเยี่ยม ซึ่งถือว่าเป็นแง่มุมใหม่ที่เราไม่ค่อยเห็นจากอุลตร้าแมนฉบับปกติเท่าใดนัก ที่สำคัญแอนิเมชันยังพาเราไปรู้จักกับอุลตราแมนอีก 2 คนนั่นคือ โมโรโบชิ ดัน ผู้สวมใส่ชุดเกราะของเซเวน กับ โฮคุโตะ เซจิ ผู้สวมใส่ชุดเกราะเอซ ซึ่งแต่ละคนก็มีปมเรื่องราวที่ชวนติดตามทั้งคู่ แม้ว่าจะมีอุลตร้าแมนเพียงแค่ 3 คน แต่การค่อย ๆ ปูเนื้อหาก็ช่วยให้เราอยากติดตามไปจนถึงตอนสุดท้ายของซีซันโดยไม่รู้สึกเบื่อเลย

ในซีซัน 2 นี้ เริ่มต้นขึ้นเมื่อมีเหตุการณ์กลุ่มคนหายสาบสูญในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วโลก ฮิงาชิ โคทาโร่ นักข่าวอิสระก็ได้เริ่มสืบหาต้นตอของเหตุการณ์นี้ แต่ในขณะเดียวกันนั้น ตัวเอกอย่างฮายาตะ ชินจิโร่ กลับหายสาบสูญไปพร้อมกันซะได้ โคทาโร่และเจ้าหน้าที่หน่วยวิทยะจึงต้องออกตามหาต้นตอของความลับว่าใครกันแน่ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้

เรื่องราวในซีซัน 2 คือการเปิดตัวเด็กดันคนใหม่อย่างโคทาโร่นั้นก็คงไม่ผิดนัก เพราะด้วยความป๊อปปูลาร์ของตัวละคร ก็ส่งผลให้เขาได้เปิดตัวในเวอร์ชันแอนิเมชันเร็วขึ้น และเคมีของโคทาโร่ก็เข้าไปหลอมรวมกับกลุ่มตัวเอกได้อย่างแนบสนิท จนเราก็อดหลงรักตัวละครนี้ไปโดยไม่รู้ตัว

เมื่อมองถึงจุดสำคัญอย่างงานภาพ ก็ขอชมจากใจว่า Netflix ทำการบ้านมาดีมาก เพราะปัญหาของซีซันแรกคือการที่เฟรมเรทของอนิเมชันค่อนข้างกระตุก ชนิดที่ว่าบางฉากแทบอยากจะเบือนหน้าหนี ซึ่ง Netflix ก็ค่อนข้างรับฟังเสียงจากผู้บริโภค เพราะซีซันนี้ไม่มีปัญหาเรื่องภาพกระตุกให้จุกจิกกวนใจแล้ว

และซิกเนเจอร์อย่างซีนแอ็กชันก็ยังทำได้ดีตามมาตรฐาน เพราะสิ่งนี้ถือเป็นจุดเด่นที่ทำได้ดีมาตั้งแต่ซีซันแรกแล้ว และในซีซันที่ 2 ก็ยกระดับมุมกล้องให้ออกมาดีขึ้น ไหลลื่นขึ้น แถมซีนแอ็กชันยังพลิ้วไหวมากกว่าเดิมซะด้วย

แต่จุดที่น่าเสียดายสำหรับเราคงจะเป็นการที่ซีซันนี้เลือกที่จะใช้คำว่า ‘ซีซัน 2’ 

แม้ว่าปมปริศนาจะดูยิ่งใหญ่ แต่เนื้อหากลับมีขนาดเพียงแค่ 6 ตอน ถือว่าสั้นกว่ามินิซีรีส์บางเรื่องซะอีก ด้วยจำนวนตอนเพียง 6 ตอน และเวลาแต่ละตอนก็ไม่ถึง 20 นาที จึงทำให้แอนิเมชันไม่สามารถเล่าทุกอย่างออกมาได้หมดจด

และก็มันส่งผลถึงบาดแผลต่อไป ที่แอนิเมชันภาคนี้มีพลอตรองที่ยุ่งเหยิงเต็มไปหมด ทั้งการเร่งรีบแนะนำตัวละครใหม่ การเปิดเผยความลับของตัวละครเก่า รวมถึงการเน้นน้ำหนักตัวประกอบที่มากเกินจำเป็น ทั้งยังไม่นับพล็อตหลักที่มีทั้งบอสรองกับบอสหลักด้วยนะ ซึ่งทุกอย่างถูกยัดมาในเวลาเพียง 6 ตอนเท่านั้น

beartai

รีวิวหนัง/ซีรีส์

Leave a Comment

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *