ชื่อเรื่อง FLEE
เรตติ้ง 8.0
นักแสดง
จำนวนตอน 1.29 ชั่วโมง

รีวิวอนิเมชั่น FLEE

รีวิวอนิเมชั่น FLEE ภาพยนตร์อนิเมชั่นนอกกระแสที่มีความโดดเด่นท่ามกลางเทศกาลหนัง สื่อบันเทิงอะไรก็ตามที่ถูกสร้างออกมาแต่ไม่ได้เป็นสื่อแบบบล็อกบัสเตอร์ที่จะได้รับความนิยมจากคนทั่วไป น่าเสียดายที่พวกมันจะไม่ค่อยเป็นที่รู้จักแม้ว่าพวกมันจะมีคุณภาพและสามารถกวาดรางวัลมาได้มากมายก็ตาม ภาพยนตร์เหล่านี้ถูกจัดให้เป็นภาพยนตร์แนวอินดี้ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อได้รางวัลแต่ในความเป็นจริงแล้วพวกมันมีคุณค่าและคู่ควรแก่การรับชมเป็นอย่างมาก ดังนั้นหากคุณเป็นคนหนึ่งที่ไม่เคยเห็นภาพยนตร์แนวล่ารางวัลอยู่ในสายตา เราอยากจะให้ทุกคนได้ลองหันมามองดูเพราะการที่คุณได้ลองรับชมภาพยนตร์เหล่านี้จะช่วยเปิดประสบการณ์ใหม่ในการรับชมภาพยนตร์ได้อย่างแน่นอน

อย่างเช่นภาพยนตร์อนิเมชั่นที่เราจะมาแนะนำในวันนี้หากใครได้ติดตามเกี่ยวกับงานเทศกาลภาพยนตร์หรือการมอบรางวัลภาพยนตร์แล้วล่ะก็จะต้องเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามมาก่อนอย่างแน่นอนนั่นก็คือภาพยนตร์เรื่อง FLEE มันเป็นภาพยนตร์อนิเมชั่นที่มีความโดดเด่นเป็นอย่างมากเพื่อใช้ตามเทศกาลภาพยนตร์ แถมนักวิจารณ์ก็ยังมีคำวิจารณ์ในแง่บวกกันแทบจะทุกคน และกำลังจะมีบทบาทในเวทีรางวัลทั้งหลายอีกด้วย

สาเหตุที่ทำให้ภาพยนตร์อนิเมชั่นเรื่องนี้มีความโดดเด่นคือการที่มาเล่าถึงเรื่องราวของชีวิตผู้ลี้ภัยที่เต็มไปด้วยเรื่องราวที่ทั้งสะเทือนใจและซาบซึ้ง เราที่อยู่ในสถานการณ์ที่ถึงแม้ว่าจะไม่ได้สงบอะไรมากมายแต่สุดท้ายเราทุกคนก็ยังคงมีบ้านอยู่มีแผ่นดินอาศัย ในขณะที่เหล่าผู้ลี้ภัยนั้นไม่สามารถกลับคืนสู่บ้านเกิดได้ ต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงมากมาย ไหนจะการพลัดพรากจากผู้คนรอบตัวไม่ว่าจะเป็นเพื่อนฝูงหรือครอบครัว บางคนดีหน่อยจะเป็นแต่ในขณะที่บางคนต้องรับมือกับการจากกันชั่วนิรันดร์ ภาพยนตร์เรื่องนี้สามารถสะท้อนให้เห็นถึงชีวิตของผู้ลี้ภัยได้อย่างยอดเยี่ยมและสร้างความสะเทือนใจให้กับผู้รับชมได้เป็นอย่างดี เรื่องราวจะเป็นอย่างไรวันนี้เราจะพาทุกคนไปดูกัน

เรื่องราวในภาพยนตร์เรื่อง FLEE

FLEE เป็นภาพยนตร์ที่จะเล่าถึงเรื่องราวของชายชาวอัฟกานิสถานที่มีชื่ออามิน อย่างที่เราทราบกันดีว่าอัฟกานิสถานนั้นเป็นประเทศที่ไม่ค่อยพบเจอความสงบสุขเลยมาเป็นระยะเวลาหลายสิบปีแล้ว ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วพวกเขาควรจะเป็นประเทศที่เจริญในดินแดนตะวันออกกลางเนื่องจากเป็นประเทศที่อุดมไปด้วยแหล่งน้ำมันมากมาย แต่เพราะอย่างนั้นมันจึงกลายมาเป็นชนวนเหตุของสงครามมากมาย ไม่ว่าจะเป็นสงครามที่มีความพยายามจะใช้อำนาจในการดึงผลประโยชน์เกี่ยวกับบ่อน้ำมันเข้ามาเป็นของตัวเองหรือแม้แต่ความขัดแย้งกันในด้านของศาสนาและความเชื่อ 

หลังจากที่สหรัฐอเมริกาได้ทำการถอนกำลังออกจากอัฟกานิสถานเป็นที่เรียบร้อยแล้วกลุ่มไอเอสซึ่งเป็นกลุ่มผู้ก่อการร้ายก็ได้ขึ้นมาปกครองเมืองแทบจะในทันที ทำให้อัฟกานิสถานในตอนนี้ไม่ปลอดภัยอีกต่อไป อย่างที่เราเห็นข่าวว่ามีชาวอัฟกานิสถานมากมายพยายามที่จะขึ้นเครื่องบินเพื่อลี้ภัย บางคนขึ้นเครื่องไม่ทันก็ยอมที่จะเกาะล้อเครื่องบินขึ้นไปแม้ว่าจะตกลงมาเสียชีวิตก็ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นไรสำหรับพวกเขา 

อามินเองโชคดีที่สามารถลี้ภัยออกมาจากบ้านเมืองที่เต็มไปด้วยความไม่สงบได้สำเร็จแม้ว่ามันจะเต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่ต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนมา แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่เคยเล่าสิ่งที่เขาต้องเผชิญให้ใครฟังแม้แต่คนรักของเขาเอง และภาพยนตร์อนิเมชั่นเรื่องนี้จะเป็นครั้งแรกที่เขาได้ออกมาเปิดเผยเรื่องราวที่แสนเจ็บปวดที่เขาเก็บมาเป็นความลับไว้ในใจเป็นระยะเวลากว่า 20 ปี มันจะทำให้ผู้รับชมอย่างเรานั้นตั้งคำถามกับนิยามของคำว่าบ้านว่ามันมีความหมายอย่างไรกันแน่ แต่สำหรับชายชาวอัฟกานิสถานผู้นี้มองว่าบ้านคือสถานที่ที่ปลอดภัยและเราจะสามารถอยู่ได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องหนีไปไหนอีก 

ความรู้สึกหลังรับชมภาพยนตร์เรื่อง FLEE

FLEE เป็นภาพยนตร์ที่พอได้รับชมแล้วเราจะไม่รู้สึกแปลกใจเลยแม้แต่นิดเดียวที่นักวิจารณ์จะชื่นชอบภาพยนตร์เรื่องนี้ มันเป็นภาพยนตร์อนิเมชั่นแนวสารคดีที่นำเสนอเรื่องราวของผู้ลี้ภัยชาวอัฟกานิสถานที่นอกจากจะต้องเผชิญกับความโหดร้ายในบ้านเมืองของตัวเองแล้วยังต้องเผชิญกับเรื่องราวมากมายหลังจากที่พวกเขาสามารถลี้ภัยออกมาได้สำเร็จ เพียงแต่ว่ามันนำเสนอออกมาในรูปแบบของอนิเมชั่นเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้สามารถสร้างความโดดเด่นและน่าประทับใจให้กับผู้รับชมอย่างเราได้เป็นอย่างดี 

ที่น่าสนใจไปมากกว่านั้นก็คือแม้ว่ามันจะนำเสนอในรูปแบบของอนิเมชั่นแต่ก็มีการนำเอาฟุตเทจภาพถ่ายจริงมาสลับให้เราได้รับชมอีกด้วย และด้วยความที่มันเป็นภาพจริงทำให้มันสามารถสร้างความสะเทือนใจให้กับเราได้เป็นอย่างดี มันเป็นการนำเอาเรื่องราวที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องจริงมาเล่าให้เราฟัง 

แต่ด้วยความที่มันเป็นสารคดีดังนั้นเรื่องราวจึงค่อนข้างที่จะไม่ได้ดำเนินไปในทิศทางของการพูดคุยกันของตัวละครแต่จะเหมือนการนั่งให้สัมภาษณ์และบอกเล่าเรื่องราวในอดีตมากกว่า ถึงอย่างนั้นมันก็ยังสามารถสร้างความบันเทิงให้กับผู้รับชมอย่างเราได้เป็นอย่างดี ด้วยเหตุนี้เราจึงอยากแนะนำให้ทุกคนได้ลองรับชม sagame66

ตัวอย่างอนิเมชั่น FLEE

รีวิว อนิเมชั่น FLEE บางส่วนจาก patsonic

คำถามบางคำเป็นสิ่งที่ตอบได้ง่ายไม่ลำบากนัก อย่างเช่นถามว่า สำหรับคุณ ‘บ้าน’ คืออะไร แต่สำหรับบางคน คำถามนี้นำพาความเจ็บปวดทั้งชีวิตให้คืนสู่ห้วงความคิดของพวกเขาอีกครั้ง เรื่องราวของการเป็นผู้ลี้ภัย ร่อนเร่ อพยพ และการพลัดพราก สิ่งเหล่านั้นจะย้อนกลับมาเสมอเมื่อใดที่ถูกเอ่ยถาม และภาพยนตร์บางเรื่องก็เลือกหยิบเอาความทรงจำอันปวดร้าวมาเอ่ยถึง เรื่องจริงที่ถูกถ่ายทอดในรูปแบบแอนิเมชัน Flee ที่สะเทือนใจไปทั้งโลก

นี่คือหนังเดนมาร์กผลงานของผู้กำกับ Jonas Poher Rasmussen ที่ทำหนังสารคดีมาหลายเรื่อง แต่ครั้งนี้ เขาเลือกจะถ่ายทำมันออกมาให้รูปแบบแอนิเมชัน เรื่องราวของผู้ลี้ภัยคนหนึ่งที่ต้องระหกระเหินหนีจากความเลวร้ายบนแผ่นดินเกิด มาพบเจอกับความเลวร้ายในแผ่นดินแห่งใหม่ น่าสนใจดีที่มันเป็นหนังสารคดี

มันเป็นคำพูดของ อามิน ชายผู้ที่ต้องเผชิญกับความน่ากลัวของกระบอกปืนและระเบิดตั้งแต่เด็ก เขาต้องหนีความรุนแรง ลี้ภัยออกจากอัฟกานิสถานบ้านเกิดของตนเอง เก็บงำสิ่งเหล่านั้นไว้ ไม่เคยบอกเล่าสิ่งที่เขาเคยต้องเผชิญให้กับใคร แม้กระทั่งคนรักของเขาเองก็ตาม นี่จะเป็นครั้งแรกที่ความลับอันเจ็บปวดที่เขาเฝ้าเก็บงำไว้มากกว่า 20 ปีจะถูกเปิดเผย ต่อชายอีกคนที่รู้จักมักคุ้นกับอามินมานานหลายปี ทั้งยังถ่ายทอดผ่านลายเส้นแอนิเมชัน และฝีมือการกำกับของ โยนัส โพเฮอร์ รัสมุสเซน

เรื่องราวของการหลบหนี การอพยพ การย้ายถิ่นฐาน ถูกถ่ายทอดเป็นหนังโดยผู้กำกับเชื้อสายยิวอย่าง โยนัส โพเฮอร์ รัสมุสเซน ซึ่งแน่นอนว่า เขาเองก็เคยผ่านเรื่องเช่นนี้มา เมื่อได้มาเจอกับ อามิน มันจึงย่อมจะกระทบใจเขาอย่างแรง จนต้องขอนำความจริงเรื่องนี้มาเปิดเผยต่อชาวโลก ภาพยนตร์แอนิเมชัน บวก หนังสารคดี แว้บแรกที่เห็นคือ มันเป็นทางเลือกในการสร้างหนังที่ทั้งว้าวและรู้สึกย้อนแย้งในใจ หนึ่งคือ มันเป็นเรื่องจริง ถ่ายทอดออกมาจากความคิดและคำพูดของคนที่ประสบมาจริงๆ มันจึงมีความเป็นหนังสารคดี แต่มันกลับถูกถ่ายทอดในรูปแบบหนังแอนิเมชัน

หนึ่งก็คือ ความยากของการถ่ายทำ แต่อีกส่วนหนึ่งที่สำคัญ มันอาจเป็นการช่วยปกปิดตัวตนจริงๆ ที่ยอมออกมาเปิดเผยเรื่องราวก็ได้ ส่วนด้านแห่งความย้อนแย้งนั้น ถ้าใครได้ดู [แม้กระทั่งตัวอย่างก็เถอะ] จะพบว่า บางส่วนของหนังก็มีการใส่ภาพเคลื่อนไหวของเหตุการณ์จริงที่เคยถูกบันทึกมาตัดสลับด้วย ทำให้การถ่ายทอดในรูปแบบแอนิเมชันที่ว่า มิได้ลดทอนความหนักแน่นและหนักอึ้งของเรื่องราวข้างในแต่อย่างใด หากตรงกันข้าม กลับทำให้รู้สึกจริงขึ้นมาอย่างเหลือเชื่อ

เริ่มต้น พวกเขาพูดถึง ‘บ้าน’ สถานที่ที่ควรจะปลอดภัยที่สุด สบายใจที่สุด แต่สำหรับชายผู้มีชีวิตที่ผ่านมา พบเจอแต่การหลบหนีและการไม่อาจเปิดเผยความจริงใดๆ คำนี้อาจไม่มีอยู่จริงสำหรับเขาเลยก็ได้ มันเป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจยิ่งนัก ฉากในนั้น เป็นภาพของการสนทนาของคนสองคนที่คนหนึ่งนั่งสัมภาษณ์ อีกคนอยู่หน้ากล้อง แต่ทั้งหมดเป็นภาพการ์ตูนแอนิเมชัน ในระหว่างการบอกเล่าชีวิตตั้งแต่วัยเด็ก หนังจะตัดสลับไปทีภาพชีวิตวันเก่าของเขา เมื่อถึงบางช่วง หนังก็จะตัดสลับไปที่ภาพเหตุการณ์จริงที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เล่า มันคือแนวทางของหนังสารคดีนี่แหละ แค่มันเป็นลายเส้นแอนิเมชันเท่านั้นเอง เรื่องราวที่ถูกถ่ายทอดออกมานั้น แสนหนักอึ้ง สภาพของบ้านเมืองอัฟกานิสถานที่กำลังเปลี่ยนแปลง ระบอบกษัตริย์ถูกยุบ กลายเป็นกองกำลังทหารเข้ายึดครอง ก่อนความรุนแรงจะลุกลามเข้ามาถึงเมืองหลวง พวกเขาต้องหนีครั้งแล้วครั้งเล่า สำเร็จบ้าง ล้มเหลวบ้าง แทบเอาตัวไม่รอด จากบ้านเกิดไปยังอีกประเทศหนึ่ง ทั้งยังพบเจอกับความเลวร้ายของสงครามกลางเมือง การถูกข่มเหงรังแกจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ และความชั่วช้าของพวกค้ามนุษย์ เรียกได้ว่า ดูไป นั่งถอนหายใจไป ทำไมชีวิตของเขาถึงลำบากกันขนาดนี้

การหลบหนี การปกปิด และความไม่อาจไว้ใจใคร ผมชื่นชมอามินผู้ให้ข้อมูลนี้เป็นอย่างมาก เขาผ่านประสบการณ์การหนีมาทั้งชีวิต กว่าจะเดินมาถึงวันที่หัวใจเข้มแข็งพอ ที่จะบอกเล่าให้คนอื่นฟัง และก็เป็นผู้กำกับคนนี้คนเดียวเท่านั้นที่เปิดใจของเขาได้ เพราะเท่าที่เห็น แม้แต่คนรักของเขาเอง ก็ยังไม่เคยรับรู้ ที่น่าเศร้ายิ่งไปกว่า คือ อามินจำต้องเก็บงำความลับนี้ไว้เพื่อครอบครัวของเขาเอง เขาเฝ้ารอวันที่ฟ้าจะเปิด โลกจะใสสว่าง แต่กว่าจะถึงวันนั้น เขาต้องทนกล้ำกลืนปวดร้าวใจ ปิดบังสาเหตุที่แท้จริงของการมาอยู่ในเดนมาร์ก ไม่อาจรู้สึกไว้วางใจใครได้

จวบจนวันที่ได้เผยความจริงกับผู้กำกับ ไม่เพียงเท่านั้น หนังยังเล่าไปถึงพฤติกรรมการเป็นเกย์ของเขาด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่สังคมอัฟกันไม่เคยให้การยอมรับ คำว่าเกย์ไม่เคยมีใช้เสมือนว่ามันไม่เคยมีอยู่ อามินจึงเป็นทั้งคนที่ต้องคอยหนีจากความเลวร้ายของคนผู้กระหายอำนาจ หนีจากเจ้าหน้าที่บ้านเมืองที่พยายามรังแกทุกทาง ทั้งอามินยังเป็นคนผู้ซึ่งต้องหลบซ่อนตัวตนที่แท้จริงเอาไว้เพราะไม่รู้ว่าจะครอบครัวจะรับมันได้แค่ไหน นอกจากเขาต้องหลบหนีจากความเลวร้ายแล้ว เขายังต้องหลบหนีตัวตนของเขาเองอีกด้วย

patsonic

Leave a Comment

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *