ชื่อเรื่องVenom 2 Let There Be Camage
เรตติ้ง6.5
นักแสดงTom Hardy,Woody Harrelson
จำนวนตอน1.37 ชั่วโมง

รีวิวหนัง Venom 2 Let There Be Camage

รีวิวหนัง Venom 2 Let There Be Camage การกลับมาอีกครั้งของ Anti-Hero ยอดนิยม ปัจจุบันนี้ภาพยนตร์แนว Anti-Hero นั้นดูเหมือนว่าจะได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเป็นอย่างมากอาจเป็นเพราะว่าเรามีภาพยนตร์แนวฮีโร่ธรรมดาทั่วไปให้เราได้รับชมมากมายหลากหลายเรื่องทั้งจากฝั่ง Marvel และฝั่ง DC แม้ว่าอย่างในฝัน DC เองจะมีความพยายามในการสร้างภาพยนตร์แนว Anti-Hero ด้วยการนำเอาตัวละครร้ายในคอมมิคหรือในภาพยนตร์ที่เคยนำเสนอมาก่อนเกี่ยวกับฮีโร่ตัวใดตัวหนึ่งอย่างเช่น Batman มารวมตัวกันกลายเป็นทีมฆ่าตัวตายในซุยไซสควอช แต่ในภาคแรกมันก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรหากเทียบแล้วภาพยนตร์แนว Anti-Hero จาก Sony อย่าง Venom

ดูเหมือนว่าจะประสบความสำเร็จมากกว่าดังนั้นในครั้งนี้พวกเขาจึงกลับมาอีกครั้งในภาพยนตร์ชื่อ Venom 2 Let There Be Carnage อย่างที่เราทราบกันดีจาก Venom ในภาคแรกว่าภาพยนตร์ซีรีส์นี้เลือกนำเสนอเรื่องราวของฮีโร่ที่เต็มไปด้วยความโหดและดิบเถื่อนมากกว่าภาพยนตร์แนวฮีโร่ธรรมดาทั่วไปและที่น่าสนใจไปมากกว่านั้นก็คือแม้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะเป็นภาพยนตร์จากค่าย Sony แต่ก็มีการเชื่อมโยงจักรวาลเข้ากับภาพยนตร์มาร์เวลฮีโร่ด้วยเช่นเดียวกันเนื่องจากตัวละคร Venom นั้นเป็นตัวละคร Anti-Hero Marvel Comic ด้วยโดยเรานั้นจะมีฉากที่ได้เห็นสไปเดอร์แมน

ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงจักรวาลได้อย่างยอดเยี่ยมดังนั้นเราจึงต้องบอกก่อนว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ที่เหมาะสำหรับคนที่รับชมภาพยนตร์เรื่อง Venom มาก่อนแล้วรู้ที่มาที่ไปของตัวละครไม่เช่นนั้นก็อาจจะทำให้บางจุดเรารู้สึกสงสัยหรือสับสนได้ไม่เพียงเท่านั้นแม้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะได้รับเรท Pa 13 แต่ความจริงแล้วเต็มไปด้วยฉากโหดรุนแรงสูงมากมายดังนั้นมันจึงไม่ใช่ภาพยนตร์ที่เหมาะสำหรับการรับชมในครอบครัวที่มีเด็กอายุต่ำกว่า 13 ปีบางครั้งเด็กที่มีอายุมากกว่า 13 ปีรับชมฉากเหล่านี้ก็อาจจะไม่เหมาะสมได้เช่นเดียวกัน

เรื่องราวในภาพยนตร์เรื่อง Venom 2 Let There Be Carnage

Venom 2 Let There Be Camage เป็นภาพยนตร์ที่จะเล่าถึงเรื่องราวชายหนุ่มไม่เอาไหนคนเดิมที่มีชื่อว่าเอ็ดดี้อดีตนักข่าวที่ดันไปเล่นข่าวพลาดจนทำให้ต้องถูกไล่ออกและทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและแฟนสาวสั่นคลอนในวันหนึ่งเขาได้บังเอิญเข้าไปมีส่วนพัวพันกับองค์กรที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับอวกาศจนทำให้ชิมบริโอตของสิ่งมีชีวิตต่างโลกซึ่งเป็นปรสิตหลุดเข้ามาในตัวเขาและมันก็ทำให้เขาสามารถกลายร่างเป็นอสูรกายต่างดาวอย่าง Venom ได้

หลังจากที่เขาเข้าไปมีส่วนพัวพันกับการพยายามทดลองและวิจัยเกี่ยวกับปรสิตต่างดาวในภาคแรกในตอนนี้เขาก็ได้กลับมาใช้ชีวิตตามเดิมอีกครั้ง แต่ต้องอยู่ร่วมกับปรสิตต่างดาวในตัวด้วยเหตุนี้ทั้งคู่จึงต้องพยายามที่จะต้องปรับตัวเพื่อให้สามารถใช้ชีวิตร่วมกันได้แม้ว่าจะมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันไปเสียทุกเรื่องเอ็ดดี้ที่เป็นเจ้าของร่างได้ทำการตั้งกฏขึ้นมาว่าห้าม Venom กินหัวคนอีกต่อไปโดยให้เขากินไก่แทน

และกินช็อกโกแลตเพื่อระงับอารมณ์ในวันหนึ่งเอ็ดดี้ก็ได้รับคำขอร้องมาจากนักโทษประหารคนหนึ่งที่มีชื่อว่าคาซาด้วยเหตุนี้จึงได้เดินทางไปพูดคุยกับนักโทษคนดังกล่าว แต่ด้วยความผิดพลาดบางอย่างทำให้นักโทษผู้นี้ได้รับเชื้อปรสิตต่างดาวเข้าสู่ร่างกายและมันก็ได้พัฒนากลายเป็นลูกของ Venom โดยมีชื่อว่าคาร์เน ๆ เรื่องราวคงจะไม่วุ่นวายหากกฎของเผ่าพันธุ์ปรสิตต่างดาวดังกล่าวไม่ได้มีการตั้งว่าตัวลูกจะต้องกลับมาฆ่าตัวที่เป็นต้นกำเนิดเพื่อให้ตัวเองนั้นแข็งแกร่งมากที่สุดดังนั้นการต่อสู้ระหว่าง Venom และลูกของเขาจึงได้เริ่มต้นขึ้น

ความรู้สึกหลังรับชมภาพยนตร์เรื่อง Venom 2 Let There Be Carnage

Venom 2 Let There Be Carnage เป็นภาพยนตร์ทำเงินจาก Sony ที่นักวิจารณ์ไม่ชอบมาตั้งแต่ไหน แต่ไรตั้งแต่ภาคแรกในขณะที่คนดูนั้นชื่นชอบเป็นอย่างมากดังนั้นในภาคนี้เรื่องราวแกล้งจะดำเนินไปในทิศทางเดิมที่นักวิจารณ์ไม่ชื่นชอบ แต่คนรับชมจะต้องชื่นชอบอย่างแน่นอนคราวที่แล้วภาพยนตร์ค่อนข้างที่จะมีความเป็นจริงเป็นจังผสมกับความตลกเล็ก ๆ แต่ในครั้งนี้จะมาในลักษณะของภาพยนตร์แนว Anti-Hero ดิบเถื่อนเลือดสาด

ที่ผสมผสานกับความตลกโปกฮามากยิ่งขึ้นจนมีกลิ่นอายของภาพยนตร์เรื่อง Deadpool เรื่องราวจะเน้นเล่าไปที่ตัวร้ายซึ่งเป็นฆาตกรต่อเนื่องสุดโหดเป็นหลักรวมไปถึงตัวปรสิตในตัวของ Kawasaki ที่มีความโหดกว่า Venom เป็นอย่างมากจากการต่อสู้นั้นค่อนข้างยิ่งใหญ่อลังการสามารถสร้างความชื่นชอบให้กับผู้รับชมได้เป็นอย่างดีในภาคนี้เราจะเห็นความน่ารักของตัวละคร Venom มากยิ่งขึ้นเนื่องจากเขานั้นมีการปรับตัวให้สามารถใช้ชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์ได้แล้วงานภาพคอมพิวเตอร์กราฟิกก็สามารถทำได้ยอดเยี่ยมมีการเชื่อมต่อกับจักรวาล Marvel Heroes ได้อย่างกําลังด

แต่จุดด้อยของภาพยนตร์เรื่องนี้จะอยู่ตรงที่เรื่องราวข้างดำเนินไปเป็นแบบเส้นตรงทำให้ไม่ค่อยมีอะไรให้เราได้ลุ้นมากมายมีการใส่มุกตลกเข้ามามากจนเกินไปจนบางครั้งก็ทำให้ไม่รู้สึกตลกแทนแม้ว่าจะมาในลักษณะของภาพยนตร์แนวดิบเลื่อน แต่ก็มีการลดทอนฉากโหดลงไปมากเช่นเดียวกันมีการเกริ่นนำเรื่องค่อนข้างยาวกว่าจะนำเข้าสู่แกนเรื่องหลัก แต่โดยรวมแล้วมันก็ยังถือว่าเป็นภาพยนตร์ที่สามารถทำได้ดีในฐานะของภาพยนตร์แนว Anti-Hero ยังคงสามารถมอบความสนุกสนานให้กับผู้รับชมอย่างเราได้ในระดับมาตรฐาน

ตัวอย่างหนัง Venom 2 Let There Be Carnage

รีวิว หนัง Venom 2 Let There Be Carnage บางส่วนจาก beartai

ในภาคแรก ‘Venom’ (2018) เป็นผลงานการกำกับของ รูเบน เฟลสเชอร์ (Ruben Fleischer) ผู้กำกับที่สร้างชื่อจากงานอย่าง ‘Zombieland’ (2009) โดยเป็นความพยายามที่จะสร้างตัวร้ายจากจักรวาลหนังสไปเดอร์-แมนที่โซนี่ถือสิทธิ์สร้างภาพยนตร์เอาไว้ให้ภาพลักษณ์เป็นแอนตี้ฮีโร่ เพื่อที่จะนำมาเจอกับ ปีเตอร์ ปาร์กเกอร์ หรือ สไปเดอร์-แมน ฉบับของ ทอม ฮอลแลนด์ (Tom Holland) หรืออาจจะนำมาทำหนังรวมดาวร้ายอย่าง แก๊ง Sinister Six ในจักรวาลหนังสไปเดอร์เวิร์สของตนเองโกยเงินรับทรัพย์ต่อไป

และในภาพรวมถือว่าหนังภาคแรกก็ไม่ได้เล่นท่ายากในการเล่าเรื่องเพื่อรับประกันความสำเร็จไปแล้ว พอมาภาคนี้ได้มีการเปลี่ยนผู้กำกับมาเป็น แอนดี้ เซอร์คิส (Andy Serkis) นักแสดงที่มีชื่อเสียงด้านการแสดงตัวละครโมชันแคปเจอร์ อย่าง กอลลัม หรือ ซีซาร์ แต่สำหรับผลงานด้านการกำกับยังต้องพิสูจน์ตัวต่อไป เพราะผลงานอย่าง ‘Mowgli’ (2018) นั้นยังเทียบความสนุกกับฝั่ง ‘The Jungle Book’ (2016) ของดิสนีย์ที่ออกฉายก่อนแทบไม่ได้เลย

หนังใช้เรื่องราวจากไอเดียของ เคลลี มาร์เซล (Kelly Marcel) ที่ร่วมเขียนบทในภาคแรก กับ ทอม ฮาร์ดี้ (Tom Hardy) ที่ควบตำแหน่งนักแสดงนำและผู้อำนวยการสร้างของหนัง โดยดัดแปลงเนื้อหาในคอมมิกช่วง ‘Maximum Carnage’ ที่คาร์เนจร่วมมือกับชรีก อาชญากรสาวที่ใช้พลังเสียงตั้งตนเป็นพ่อแม่ของแก๊งวายร้ายออกจู่โจมเมืองนิวยอร์กและต้องปะทะกับกลุ่มฮีโร ซึ่งรวมถึงสไปเดอร์-แมนและเวนอมด้วย โดยปรับความสัมพันธ์ของคาร์เนจกับชรีกให้เป็นคู่รักในโรงเรียนดัดสันดานที่ถูกจับให้พลัดพรากกันแทน ซึ่งเอาจริงก็ดูน่าสนใจขึ้น ตัวละครมีมิติมากขึ้น ทว่าก็ยังติดปัญหาบางอย่างที่จะขอยกยอดสรุปในทีเดียว

และเนื้อหาในส่วนของฝั่งบล็อกกับเวน่อมนั้น ใช้สืบเนื่องจากหนังในภาคแรกมาต่อทันที โดยแทบไม่ได้ปูพื้นใหม่จึงควรดูหนังในภาคแรกมาก่อน แต่ในภาคนี้ก็จะลดเรื่องราวปลีกย่อยลง โลกในหนังดูเล็กลงและอยู่ในสถานที่ไม่กี่แห่ง ตัวละครไม่กี่คน แม้แต่ช่วงที่คาร์เนจอาละวาดหนักสุด เราก็ไม่ได้เห็นความหวาดผวาของเมืองมากเท่าที่ควร ราวกับว่าไม่มีใครรู้เลยว่ามีปีศาจระดับภัยพิบัติอาละวาดอยู่กลางเมืองนอกจากพวกตัวเอกที่เกี่ยวข้องโดยตรง

แต่ที่ต่างจากภาคแรกมากสุดคือ ดูเหมือนเซอร์คิสก็อาจจะมีไอเดียที่อยากยกระดับการเล่าเรื่องเวนอมให้หนักขึ้น ซับซ้อนขึ้น เป็นหนังสำหรับผู้ใหญ่มากขึ้นด้วย ทั้งนี้ต้องใช้คำว่า อาจจะ เพราะเราเห็นร่องรอยการปะผุแก้การเล่าเรื่องอยู่หลายครั้ง ที่พอเดาได้ว่าหนังเคยมีอีกเวอร์ชันที่ใช้วิธีการเล่าเรื่องในอีกแบบ ซึ่งเดาว่าในตอนแรก ฟรานเซส บาร์ริสัน ตัวละครของ นาโอมี แฮร์ริส (Naomie Harris) น่าจะไม่ได้ถูกเปิดเผยตั้งแต่ต้นเรื่อง

และทำให้การกระทำของตัวละคร คลีตัส แคสซาดี ของ วูดดี ฮาร์เรลสัน (Woody Harrelson) ที่เชื้อเชิญบล็อกให้มาทำข่าวนั้นชวนเป็นปริศนาและลึกลับ คล้ายการต้อนเล่นของฆาตกรอัจฉริยะกับผู้สัมภาษณ์ใน ‘The Silence of the Lambs’ (1991) และจะทำให้การกระทำของ นักสืบมัลลิแกน ที่รับบทโดย สตีเฟน กราแฮม (Stephen Graham) ที่ดูผิดแปลกในบางฉากอยู่ในหนังตอนนี้นั้นดูสมเหตุสมผลขึ้นทันที (และเป็นจุดที่ทำให้เดาว่าหนังน่าจะเคยเล่าอีกแบบมาก่อน)

beartai

Leave a Comment

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *