รีวิวหนัง DAY SHIFT

ชื่อเรื่องDAY SHIFT
เรตติ้ง7.5
นักแสดงJamie Foxx,Dave Franco,Snoop Dogg
จำนวนตอน1.53 ชั่วโมง

รีวิวหนัง DAY SHIFT

รีวิวหนัง DAY SHIFT หนังเน้นแอ็กชั่นติดตลกเล่นมุกฆ่าแวมไพร์ที่พอดูได้ขำๆ ไม่มีอะไรแปลกใหม่หรือน่าจดจำ ฉากแอ็กชั่นดีฉากแรกกับกลางเรื่อง นอกนั้นก็ค่อยๆ ดรอปลงเรื่อยๆ จนจบไปแบบง่อยมาก ตัวเนื้อเรื่องก็กลวงโบ๋เบาหวิวเหมือนไม่มีอะไรจะเล่า ดูแล้วเหมาะสมกับเป็นหนังทำลงสตรีมมิ่งแค่นั้นจริงๆ เป็นภาพยนตร์ที่เล่าถึงเรื่องราวของครอบครัวชนชั้นแรงงานคนหนึ่งที่มีคุณพ่อชื่อว่าบั๊ด เขานั้นทำงานอย่างหนักเป็นประจำทุกวันเพราะต้องการให้ลูกสาวมีชีวิตที่ดีขึ้น เขารู้ดีว่าลูกสาวของตนเองนั้นแตกต่างจากเด็กทั่วไป เธอทั้งฉลาดหลักแหลมและเต็มไปด้วยไหวพริบ หากเธอได้รับโอกาสรับรองว่าเธอจะไปได้อีกไกลและหนีออกจากชีวิตของชนชั้นแรงงานที่ต้องทำงานหนักและเต็มไปด้วยความลำบากได้อย่างแน่นอน เบื้องหน้าชายหนุ่มผู้นี้ทำงานเป็นพนักงานทำความสะอาดสระว่ายน้ำแห่งหนึ่ง เป็นงานที่ทั้งหนักและซ้ำซากจำเจ แต่ในความเป็นจริงแล้วงานดังกล่าวไม่สามารถจุนเจือครอบครัวได้ถึงขนาดนั้น เขาจึงมีอีกหนึ่งงานเสริมซ่อนอยู่ในเงามืดและมันก็เป็นแหล่งรายได้ที่แท้จริงให้เขาได้นำเอามาพัฒนาคุณภาพชีวิต นั่นก็คือการเป็นนักล่าแวมไพร์นั่นเอง 

หนังแวมไพร์ netflix

ด้วยความที่มีทักษะในการต่อสู้ระดับหนึ่งทำให้เขาสามารถต่อสู้หรือแม้แต่ฆ่าเหล่าแวมไพร์ได้ตามความต้องการ เขาจึงทำงานให้กับสภาพนักล่าแวมไพร์นานาชาติ ในขณะที่ตอนเย็นเขาเป็นพนักงานทำความสะอาดสระว่ายน้ำหลังจากที่มีผู้คนมาใช้งานเป็นจำนวนมาก ในตอนกลางวันเขาจะมีโอกาสได้ออกล่าแวมไพร์และหารายได้เพื่อให้ชีวิตของลูกสาวเขาดีขึ้นกว่าเดิม แต่เรื่องไม่ง่ายแบบนั้น เพราะการเป็นนักล่าแวมไพร์นั้นเต็มไปด้วยความเสี่ยงมากมายซึ่งมันเริ่มจะพัวพันกับชีวิตครอบครัวของเขาแล้ว สุดท้ายเขาจะสามารถปกป้องครอบครัวของเขาเอาไว้ได้หรือไม่ ต้องไปติดตามรับชมกันต่อในภาพยนตร์และนี่คือความรู้สึกหลังรับชมภาพยนตร์เรื่อง DAY SHIFT

DAY SHIFT เป็นภาพยนตร์ชิมลางเรื่องแรกของผู้กำกับหน้าใหม่ที่เดิมทีเป็นสตั้นท์แมนที่อยู่ในวงการมาอย่างยาวนานนับ 30 ปีอย่างเจ. เจ. เพอร์รี่ ผลงานชิ้นแรกของสตั๊นท์แมนที่ผันตัวมาเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ถือว่าทำออกมาได้ค่อนข้างน่าพึงพอใจเลยทีเดียว เป็นภาพยนตร์ที่อยู่ในระดับมาตรฐาน อาจจะไม่ได้หวือหวาแต่ก็ถือว่าสอบผ่าน เนื่องจากเขาได้นำเอาประสบการณ์ที่สั่งสมมาเป็นเวลานานมาประกอบการจนออกมาเป็นภาพยนตร์เรื่องนี้ และสิ่งที่โดดเด่นมากที่สุดที่ผู้กำกับผู้นี้สามารถสร้างสรรค์ออกมาได้ก็คือฉากสตั้นท์ในภาพยนตร์ที่ทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมสมกับประสบการณ์ที่ยาวนาน ด้วยความที่ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์แนวต่อสู้อยู่แล้ว ดังนั้นการออกแบบการต่อสู้จากสตั๊นท์แมนที่ทำงานดังกล่าวมาอย่างยาวนานกว่า 30 ปีจึงเต็มไปด้วยความน่าสนใจ ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้ใส่เข้ามาจนสะเปะสะปะหรือทำให้รู้สึกน่าเบื่อเลยแม้แต่น้อย ไม่เพียงเท่านั้นจากการไล่ล่ายังทำออกมาได้น่าตื่นเต้นเร้าใจเหมือนกับได้รับชมภาพยนตร์ FAST AND FURIOUS ก็ไม่ปาน 

น่าเสียดายที่ความดีพวกนี้กลับถูกกลบไปด้วยความเป็นภาพยนตร์สูตรสำเร็จที่ซ้ำซากจำเจเหมือนแค่นำเอาเรื่องราวมาจับวางต่อกันตั้งแต่ต้นจนจบเท่านั้น บทภาพยนตร์ไม่ได้มีอะไรที่น่าสนใจเลยแม้แต่น้อย ไม่สามารถสร้างแรงดึงดูดให้ผู้รับชมรู้สึกอยากจะดูจนจบถึงขนาดนั้น ดูจบแล้วก็จบเลยไม่ได้สร้างความประทับใจที่ทำให้เรารู้สึกอยากจะชื่นชม แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้มีอะไรให้ด่าเช่นเดียวกัน โดยรวมแล้วก็ถือว่าเป็นภาพยนตร์ที่สนุกดีแต่ยังไร้ความสร้างสรรค์ที่สร้างความดึงดูดให้ผู้รับชมรู้สึกอยากจะดูต่ออย่างน่าเสียดาย ภาพยนตร์แนวล่าแวมไพร์ที่ทำออกมาได้สนุกแต่หนีไม่พ้นสูตรสำเร็จ

ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตามแต่สุดท้ายแล้วแวมไพร์ก็ยังคงเป็นความคลาสสิคที่อยู่ได้กับทุกยุคทุกสมัยอยู่ดี เป็นวิญญาณร้ายที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในสื่อบันเทิงทั่วไปไม่ว่าจะเป็นเกม นวนิยาย ภาพยนตร์ ซีรีส์ ความเหนือธรรมชาติของพวกเขานั้นเต็มไปด้วยความน่าสนใจทั้งความเป็นอมตะ หน้าตาดี กินเลือดมนุษย์เพื่อความอยู่รอด มันเป็นความโรแมนติกที่แฝงไปด้วยความสยองขวัญ ในขณะเดียวกันคู่แข่งของพวกเขาอย่างนักล่าแวมไพร์เองก็มีความน่าสนใจเช่นเดียวกัน มันจึงไม่น่าแปลกใจเลยแม้แต่น้อยว่าทำไมตัวละครนี้ยังคงอยู่มาได้จนถึงปัจจุบันทั้งที่มีการสร้างออกมานับครั้งไม่ถ้วน 

ภาพยนตร์ที่เราจะพาทุกคนมาแนะนำกันในวันนี้อย่าง DAY SHIFT ก็เป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่หยิบยกนำเอาเรื่องของแวมไพร์มาเล่าอีกครั้งเช่นเดียวกัน แต่จะเล่าผ่านมุมมองของนักล่าแวมไพร์ซึ่งเป็นคู่ต่อสู้ตัวฉกาจของเหล่าแวมไพร์แทน ต้องเตือนก่อนว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์จอเล็กจาก STREAMING ชื่อดังอย่าง NETFLIX ดังนั้นมันจึงอาจจะไม่ได้มีงานสร้างที่ยิ่งใหญ่อลังการเทียบเท่ากับภาพยนตร์จอใหญ่ฉายในโรง ถึงอย่างนั้นก็ทำออกมาได้ค่อนข้างสนุกสนานดูเพลินไม่น้อยเลยทีเดียว แต่สิ่งที่น่าเสียดายของภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือความสนุกของมันอาจจะยังไม่เพียงพอถึงขั้นที่สามารถซื้อใจผู้รับชมจะทำให้มันกลายเป็นภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงามถึงขนาดนั้น

ด้วยความที่เป็นภาพยนตร์ฟอร์มเล็กมันยังคงหนีออกจากวงเวียนคำว่าภาพยนตร์สูตรสำเร็จไม่ได้ แม้ว่าภาพยนตร์สูตรสำเร็จนั้นจะเต็มไปด้วยความสนุกสนานแต่เพราะว่ามันดำเนินเรื่องแบบเดิมๆ สำหรับใครที่ชอบก็ชอบไปเลย แต่สำหรับใครที่รู้สึกเบื่อก็จะเบื่อไปเลยเช่นเดียวกัน มันจึงนับว่าเป็นความเสี่ยงไม่น้อยสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ที่เลือกจะนำเสนอในมุมมองแบบสูตรสำเร็จ หากพวกเขาสามารถก้าวข้ามผ่านความเป็นสูตรสำเร็จได้ภาพยนตร์เรื่องนี้จะมีความน่าสนใจมากขึ้นกว่าเดิมอีกเท่าตัวเลยทีเดียว อย่างไรก็ตามขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละบุคคล หากคุณสนใจภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่วันนี้เราจะพาทุกคนไปดูกันว่ามันมีความน่าสนใจอย่างไรบ้าง เรื่องราวในภาพยนตร์เรื่อง DAY SHIFT

ตัวอย่างหนัง DAY SHIFT

รีวิว หนัง DAY SHIFT บางส่วนจาก beartai

แรกสัมผัสต้องบอกว่าหน้าหนังของ ‘Day Shift’ ชวนให้นึกถึงหนังแนวคู่หูที่มีฉากหลังเป็นโลกแนวแฟนซีอย่าง ‘Men in Black’ (1997) ‘R.I.P.D.’ (2013) หรือหนังเน็ตฟลิกซ์อย่าง ‘Bright’ (2017) ที่เหมือนว่าจะต้องมีตัวเก๋ามาดดุเข้มประกบกับเด็กใหม่ที่ยังละอ่อนฝีมือแต่สร้างบรรยากาศเฮฮาได้ดี ซึ่งหนังในหมวดนี้ไม่ว่าจะทำดีหรือห่วยมันก็ต้องจัดวางไว้ในชั้นนั่งเหยียดขาเอนหลังนั่งดูในเวลาว่างแบบขอไม่ต้องคิดอะไรให้มากอยู่แล้ว และถ้าคุณกำลังอยู่ในอารมณ์แบบที่ว่าหนังมันจะดูลงตัวในแนวทางของมันพอดี

อาจด้วยเพราะนี่เป็นการกำกับหนังเรื่องแรกของอดีตนักแสดงเสี่ยงตายอย่าง เจ.เจ. เพอร์รี (J.J. Perry) ซึ่งเคยผ่านงานหนังใหญ่มานับไม่ถ้วน แค่คัดเอาชื่อเด่นเช่น แฟรนไชส์ ‘John Wick’ และ ‘Fast & Furious’ ก็นับว่าน่าสนใจไม่น้อยแล้ว แน่นอนว่าในกรณีเช่นนี้หลายครั้งเราจะเห็นว่าทีมสร้างจะไม่ได้ฝืนเล่าท่ายากอะไรมากและเปิดช่องให้เอาความเชี่ยวชาญด้านการออกแบบฉากต่อสู้มาเป็นจุดแข็งมากกว่า

และนี่ก็เป็นสาเหตุว่าพล็อตหนังเรื่องนี้เล่นตามสูตรสำเร็จแบบไม่ขืนอะไรมากเลย โดยเอาไอเดียของมือเขียนบทหน้าใหม่อย่าง ไทเลอร์ ไทซ์ (Tyler Tice) มาให้ เชย์ แฮตเทน (Shay Hatten) ที่มีผลงานหนังแอ็กชันทรงใกล้กันอย่าง ‘Army of the Dead’ (2021) และ ‘Army of Thieves’ (2021) มาช่วยเสริมลูกเล่นแบบไม่ต้องมากแค่พอดูเพลิน

ได้เป็นเรื่องราวของ บั๊ด คุณพ่อถังแตกที่แสดงโดยนักแสดงยอดฝีมือ เจมี่ ฟ็อกซ์ (Jamie Foxx) ต้องดิ้นรนหาเงินก้อนใหญ่มาจ่ายค่าเทอมให้ลูกสาว ก่อนที่อดีตภรรยาจะขายบ้านเอามาจ่ายแล้วพาลูกย้ายเมืองไปอยู่กับแม่ยายซึ่งจะทำให้เขาไม่พบหน้าลูกอีก แต่แย่หน่อยตรงอาชีพเดียวที่ทำเงินเป็นกอบเป็นกำให้บั๊ดได้คือนักล่าแวมไพร์ที่เขาปกปิดทุกคนเอาไว้ และจะกลับไปรับงานเงินดีเลยก็ไม่ได้อีกเพราะนิสัยเหมือนตำรวจห่ามไม่ตามกฎของเขา ทำให้ถูกเฉดหัวจากสหภาพหรือสมาพันธ์นักล่าเมื่อนานมาแล้ว

จังหวะนี้จึงต้องไปขอความช่วยเหลือจาก บิ๊กจอห์น นักล่าคนดังของสหภาพที่แสดงโดยตำนานนักปุ๊น สนูป ด็อกก์ (Snoop Dogg) ให้เข้าไปไกล่เกลี่ยอ้อนวอนหัวหน้าสหภาพให้เขากลับเข้าทำงาน แต่เงื่อนไขที่บั๊ดต้องทำให้ได้คือเขาต้องทำงานคู่กับ เซธ นักล่าป้ายแดงที่เป็นแค่เสมียนของสหภาพ รับบทโดยหนุ่มหน้าหล่ออย่าง เดฟ ฟรังโก (Dave Franco) ที่ต้องมาแหกปากโวยวายและถ่วงแข้งถ่วงขาตามสูตรมือละอ่อน

และเงื่อนไขสำคัญคือบั๊ดต้องรับงานแค่กะกลางวันที่อันตรายน้อยเพราะแวมไพร์ไม่ออกล่ากัน ซึ่งกลายมาเป็นชื่อของหนัง แต่บังเอิญโชคร้ายที่ตอนนี้มีแวมไพร์มาเฟียที่ไม่กลัวการเดินกลางวันออกมาเพ่นพ่านช่วงที่เขาทำงานพอดี ว่ากันตามตรงเรื่องราวส่วนใหญ่เดาได้ไม่ยาก และเป็นอะไรที่สบายหัวดูเพลินได้ไปจนจบด้วยสูตรหนังที่คุ้นเคย ชวนให้นึกถึงความเรียบง่ายของหนังแอ็กชันแบบยุคเก่า ๆ ที่ซับซ้อนน้อยแต่เล่าให้สนุกก็พอ

และจุดเด่นของหนังเรื่องนี้ที่ถือว่าสนุกดูเพลินดีคือ ฉากการต่อสู้กับพวกแวมไพร์ที่สะใจดีเหลือเกิน ตัวเอกอาจมีแค่มีดใหญ่กับปืนลูกซองแต่ก็ใช้พลิกแพลงให้มีท่าพิฆาตได้หลากหลายสมกับที่ผู้กำกับเคยออกแบบคิวบู๊มาโชกโชน และที่แจ๋วเลยคือพวกแวมไพร์ก็ตายยากดีเหลือเกิน แถมยังมีท่าทางประหลาดเหมือนพวกซอมบี้นักกายกรรมอีกต่างหาก ดังนั้นเลยเห็นฉากอัด-ดัด-หักพวกแวมไพร์ไปตั้งแต่หัวยันเท้าเลยทีเดียว ยิ่งไม่ตายก็ยิ่งมัน พวกพระเอกยิ่งได้ฉายฉากฆ่าสุดโหดมากขึ้นเท่านั้น และนี่อาจเป็นสาเหตุให้หนังได้เรต R ไปด้วย แต่ก็รุนแรงสะใจคอหนังบู๊ดีเหลือเกิน แม้จะไม่ได้มีอะไรที่แปลกใหม่จนว้าวก็ตาม

beartai

รีวิวหนัง/ซีรีส์

Leave a Comment

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *