ชื่อเรื่อง | Raya and the last dragon |
เรตติ้ง | 7.4 |
นักแสดง | ญาญ่า อุรัสยา,Kelly Marie Tran |
จำนวนตอน | 1.47 ชั่วโมง |
รีวิวอนิเมชั่น Raya and the last dragon Disney+Hotstar
รีวิวอนิเมชั่น Raya and the last dragon Disney+Hotstar เจ้าหญิงดิสนีย์จากภูมิภาคอาเซียน ดิสนีย์นั้นเป็นค่ายการ์ตูนที่มีความพยายามอย่างยิ่งในการถ่ายทอดความหลากหลายของแต่ละชนชาติและสีผิว มีตั้งแต่เจ้าหญิงที่เป็นคนผิวขาวชาวยุโรป หญิงสาวชนเผ่าบนเกาะห่างไกล หญิงสาวนักรบชาวจีน หญิงสาวผิวสีที่มีความฝันอยากจะเป็นเจ้าของร้านกาแฟ ดูเหมือนว่าจะยังขาดหญิงสาวที่มาจากภูมิภาคอาเซียนหรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านไป ประกอบกับความนิยมของดิสนีย์ในภูมิภาคนี้ก็ค่อนข้างสูงไม่น้อยเลยทีเดียวทำให้สุดท้ายเราก็มีเจ้าหญิงในภูมิภาคของตนเองในที่สุดนั่นก็คือ Raya and the last dragon
ต้องยอมรับเลยว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกสร้างออกมาได้ชาญฉลาดเป็นอย่างมาก ทีมผู้สร้างจำนวนหลายร้อยคนได้ทำการรวบรวมนำเอาวัฒนธรรมรวมไปถึงศิลปะความเป็นอาเซียนทั้งในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านมาผสมผสานเข้าด้วยกัน แม้จะไม่มีการแบ่งแยกว่าศิลปะวัฒนธรรมนี้เป็นของชาติไหนเนื่องจากลดความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาดราม่าตามมาเมื่อมีตัวละครใดตัวละครหนึ่งเป็นตัวร้ายแล้วมีคาแรคเตอร์เป็นชนชาติใดชนชาติหนึ่งอย่างชัดเจน
และด้วยความที่มันเป็นการผสมผสานวัฒนธรรมไทยทำให้สำหรับคนไทยและภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ที่มีความน่าสนใจและน่าตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมาก เพราะเรามีความรู้จักในวัฒนธรรมต่างๆ ที่อยู่ในภาพยนตร์เป็นอย่างดี ไม่เพียงเท่านั้นภาพยนตร์เรื่องนี้ยังมีชาวไทยเข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างอีกด้วย รับรองเลยว่าหากได้รับชมแล้วรายาจะกลายเป็นเจ้าหญิงดิสนีย์ 1 คนที่คุณตกหลุมรักอย่างแน่นอน
เรื่องราวในภาพยนตร์เรื่อง Raya and the last dragon
Raya and the last dragon จะเล่าถึงเรื่องราวต้นกำเนิดของเมืองคูมันตรา ดินแดนยิ่งใหญ่ที่มีลักษณะแผ่นดินเป็นรูปมังกร ดินแดนแห่งนี้มีสายน้ำไหลผ่านกลายเป็นอวัยวะทั้ง 5 ที่ถูกแบ่งออกเป็นเมืองแต่ละเมืองในระยะเวลาต่อมาประกอบไปด้วยเขี้ยว กรงเล็บ หัวใจ สันหลัง และหาง แต่แล้วในวันหนึ่งก็มีอสูรละกายสุดชั่วร้ายบุกเข้ามายังโลกใบนี้ที่มีชื่อว่าดรูน ด้วยเหตุนี้มังกรทุกตัวจึงได้ร่วมกันต่อสู้อย่างสุดกำลังเพื่อปกป้องดินแดนของพวกเขาเอาไว้ พวกเขาสละชีพอย่างกล้าหาญและทิ้งอัญมณีแห่งมังกรเอาไว้ในเมืองหัวใจ
ระยะเวลาผ่านไปอย่างยาวนานนับ 500 ปี หัวหน้าชนเผ่ามังกรที่มีชื่อว่าเบญจาก็ได้มีความคิดที่จะทำการเปิดเมืองให้แต่ละชนเผ่าได้เข้ามาเรียนรู้และอยู่อาศัยร่วมกันอย่างสันติ การเปิดบ้านในครั้งนี้ทำให้เจ้าหญิงแห่งเผาหัวใจอย่างรายาได้พบเข้ากับเจ้าหญิงแห่งเผ่าเขี้ยวอย่างนัมมาอารี ด้วยความไม่รู้ทำให้ทั้งสองคนนั้นได้ใช้มิตรภาพหลอกล่อชิงนำเอาอัญมณีแห่งมังกรจนมันแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยและทำให้เกิดความโกลาหลขึ้นมา เมื่ออัญมณีแตกอสูรละกายเจ้าเดิมดรูนก็ได้ปรากฏกายขึ้นมาอีกครั้ง มันกัดกินมนุษย์และสัตว์ผู้คนให้กลายเป็นหิน
รายาจำเป็นที่จะต้องกอบกู้สถานการณ์ให้สำเร็จ ด้วยเหตุนี้เธอจึงได้ออกเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆ เพื่อทำการเก็บรวบรวมเศษอัญมณีที่แตกสลายเข้าไว้ด้วยกัน และในที่สุดเธอก็สามารถปลุกชีพมังกรตัวสุดท้ายได้สำเร็จ แต่อย่างไรก็ตามการเดินทางของเธอยังไม่จบเพราะเธอนั้นต้องพยายามหาทางต่อสู้กับอสูรละกายชั่วร้ายอย่างดรูนให้สำเร็จ และช่วยปลดปล่อยทุกคนที่ถูกสาปให้กลายเป็นหินกลับมามีชีวิตตามเดิมได้อีกครั้ง
ความรู้สึกหลังรับชมภาพยนตร์เรื่อง Raya and the last dragon
Raya and the last dragon เป็นภาพยนตร์ที่มีความเป็นดิสนีย์แบบ 100% นั่นก็คือการเดินทางของเจ้าหญิงเพื่อกอบกู้บางสิ่งบางอย่างให้สำเร็จเหมือนกับภาพยนตร์เจ้าหญิงดิสนีย์ยุคใหม่ และที่สำคัญเลยคือภาพยนตร์เรื่องนี้มีตัวละครสุดน่ารักเข้ามาแย่งซีนให้เราเห็นเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะสัตว์พาหนะอย่างทุกๆที่มีความผสมผสานกันระหว่างเม่นและสุนัขสามารถกลิ้งได้ ไม่เพียงเท่านั้นยังมีแก๊งโจรผ้าอ้อมที่เต็มไปด้วยความน่ารักและความแสบสันจนทำให้เรานั้นอดรู้สึกเอ็นดูพวกเขาไม่ได้
สิ่งที่น่าสนใจมากที่สุดในภาพยนตร์เรื่องนี้โดยเฉพาะสำหรับชาวอาเซียนหรือคนไทยด้วยกันเองนั่นก็คือการนำเอาศิลปะวัฒนธรรมที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดีเข้ามาผสมผสานภายในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นชื่อของตัวละคร เสื้อผ้าการแต่งตัว สถานที่ ทุกอย่างล้วนแล้วแต่ทำให้เรานั้นสามารถสัมผัสได้ถึงความเป็นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว
และประเด็นที่น่าสนใจเป็นมากกว่านั้นก็คือการที่ Disney ตัดสินใจเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับมิตรภาพก่อนที่จะทำลายมันลงและก่อให้เกิดความโกลาหลขึ้นมา ทั้งที่จุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดคือการพยายามรวบรวมกันให้กลายเป็นปึกแผ่น มันน่าสนใจเป็นอย่างมากว่าภาพยนตร์นั้นจะดำเนินเรื่องราวต่อไปในทิศทางไหนให้ทุกอย่างกลับมาเข้าที่เข้าทางได้อย่างสวยงามมากที่สุด
หากใครที่ยังไม่เคยรับชมภาพยนตร์เรื่องนี้มาก่อนแล้วมี Disney Plus อยู่ในมือเราขอแนะนำให้คุณรับชมไม่ควรพลาดโดยเด็ดขาด เพราะมันเป็นมากกว่าภาพยนตร์สำหรับการรับชมฆ่าเวลา แต่มันยังมอบความสนุกสนานและข้อคิดให้กับเราอีกมากมายด้วย และที่สำคัญมันยังเป็นการสนับสนุนเจ้าหญิงที่มาจากวัฒนธรรมของเราอย่างฝั่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่แน่ว่าหากภาพยนตร์เรื่องนี้ประสบความสำเร็จอย่างงดงามเราอาจจะมีโอกาสได้เห็นภาพยนตร์ภาค 2 ตามออกมาก็เป็นได้