ชื่อเรื่อง | THOR LOVE AND THUNDER |
เรตติ้ง | 7 |
นักแสดง | Chris Hemsworth,Natalie Portman,Christian Bale |
จำนวนตอน | 1.59 ชั่วโมง |
รีวิวหนัง THOR LOVE AND THUNDER
รีวิวหนัง THOR LOVE AND THUNDER การสานต่อจักรวาล MARVEL HERO อีกครั้งหลังเปิดมัลติเวิร์ส มีความเชื่อว่าทุกทางแยกการตัดสินใจจะก่อให้เกิดจักรวาลคู่ขนานขึ้นมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด มันทำให้เราอดคิดไม่ได้ว่าเราในอีกโลกขนานหนึ่งจะเป็นอย่างไร จะเผชิญปัญหาหรือมีความสุขอยู่ในตอนนี้ และ MARVEL ก็สามารถจับจุดตรงนี้ของผู้รับชมได้เป็นอย่างดีจึงได้มีการชิมลางเกี่ยวกับมัลติเวิร์สด้วยภาพยนตร์เรื่อง SPIDER-MAN NO WAY HOMEและประสบความสำเร็จอย่างงดงามด้วยการนำเอาสไปเดอร์แมนและบรรดาวายร้ายจากต่างจักรวาลมารวมไว้ในภาพยนตร์เรื่องเดียว แต่อย่างไรก็ตามมันก็เป็นเพียงแค่การชิมลางเท่านั้นเพราะของจริงนั้นปรากฎอยู่ในภาพยนตร์เรื่อง DOCTOR STRANGE IN THE MULTIVERSE OF MADNESS พี่เพิ่งออกฉายไปเมื่อไม่นานมานี้
ล่าสุดทาง MARVEL ก็ได้ออกฉายภาพยนตร์ที่จะมาสานต่อเรื่องราวที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายอีกครั้งนั่นก็คือภาพยนตร์เรื่อง THOR LOVE AND THUNDER เรื่องราวของเทพเจ้าสายฟ้าที่เผชิญกับความสูญเสียมากมายไม่ว่าจะเป็นครอบครัวหรือดาวบ้านเกิดจนทำให้แฟนคลับถึงขั้นล้อเขาว่าเทพเจ้าถังเบียร์อยู่พักหนึ่งเพราะเขาปล่อยเนื้อปล่อยตัวไม่ยอมทำอะไรหลังจากที่ธานอสสามารถดีดนิ้วให้คนหายไปได้สำเร็จ ในตอนนี้เขากลับมาเป็นเทพเจ้าสายฟ้าที่น่าเกรงขามอีกครั้งเป็นที่เรียบร้อยแล้วกับภาพยนตร์เรื่องใหม่ของตนเอง
โดยผู้ที่มานั่งแท่นผู้กำกับของภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ใช่ใครแต่เป็นไทก้า ไวทิทิที่กลับมาสานต่องานที่เขาเคยทำค้างไว้ในภาคที่ 3 ดังนั้นมันจึงเป็นการเล่าเรื่องที่ต่อเนื่องกันแบบไม่ต้องกังวลอย่างแน่นอน หากคุณอยากรู้ว่าชะตากรรมของเทพเจ้าธอร์จะเป็นอย่างไรต่อไปหลังจากที่เรื่องราวจบลงตรงที่เขานั้นต้องเผชิญหน้ากับพี่สาวที่ไม่ได้เจอกันนาน สามารถรับชมได้ในโรงภาพยนตร์ตั้งแต่วันที่ 6 กรกฎาคมนี้เป็นต้นไป
หนังมาเวล 2022
เรื่องราวในภาพยนตร์เรื่อง THOR LOVE AND THUNDER
THOR LOVE AND THUNDER เป็นภาพยนตร์มาร์เวลที่จะเปิดตัววายร้ายคนใหม่ที่มีชื่อว่ากอร์ เขาเต็มไปด้วยความเจ็บแค้นในหัวใจ ก่อนหน้านี้เขาก็เป็นคุณพ่อธรรมดาทั่วไปแต่กลับต้องสูญเสียลูกสาวผู้เป็นที่รักไปเนื่องจากความแร้นแค้น ความยากลำบากในชีวิตที่เขาไม่สามารถต่อสู้ได้ แม้แต่เทพที่เขาศรัทธาและบูชามาโดยตลอดก็ได้หันหลังให้กับเขา ไม่แม้แต่จะสนใจใยดีต่อความสูญเสียที่เกิดขึ้น
และด้วยแรงแค้นทำให้เขานั้นตัดสินใจลุกขึ้นมาแก้แค้นให้กับลูกสาวด้วยการสังหารเทพองค์แรกด้วยเนโครซอร์ค เมื่อทำสำเร็จมันทำให้เขานั้นมีความมั่นใจมากขึ้นกว่าเดิมว่าตนเองมีพลังที่สามารถจัดการกับเทพเจ้าได้ เขาจึงให้คำมั่นสัญญากับตนเองเอาไว้ว่าจะตามล้างบางแก้แค้นเหล่าทวยเทพทั้งหมด ภารกิจหลักที่เขาต้องการคือการเดินทางไปยังดาว ASGARD เข้าไปใน ETERNITY ซึ่งเป็นดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์แห่งจักรวาลและทำให้ความปรารถนาสูงสุดของเขานั้นได้กลายเป็นจริง
ด้วยเหตุนี้ทั้งเทพเจ้าธอร์ วัลคีรี่ และเจน ฟอสเตอร์ที่มาในลุคใหม่อย่างไมตี้ ธอร์จึงต้องเดินทางไปยังดวงดาวและอวกาศเพื่อปกป้องดินแดนศักดิ์สิทธิ์ให้สำเร็จก่อนที่วายร้ายจะสมความปรารถนาของมันและก่อให้เกิดความสูญเสียตามมา เขาจะสามารถรับมือกับตัวร้ายที่มีพลังไม่น้อยไปกว่าใครในจักรวาล MARVEL ผู้นี้ได้สำเร็จหรือไม่ เราต้องไปติดตามเอาใจช่วยกันในภาพยนตร์
ความรู้สึกหลังรับชมภาพยนตร์เรื่อง THOR LOVE AND THUNDER
THOR LOVE AND THUNDER เป็นการกลับมาที่ทำให้แฟนคลับเทพเจ้าธอร์หลายคนรู้สึกดีใจไม่น้อยเลยทีเดียว เราต้องยกความดีความชอบให้กับเจ้าของบทบาทอย่าง CHRIS HAMWORD ที่สวมบทบาทเป็นเทพเจ้าแห่งสายฟ้ามาตั้งแต่ปี 2011 และเขาก็ไม่เคยสลัดภาพลักษณ์ให้พระเจ้าออกจากตนเองได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว แต่สิ่งที่ทำให้แฟนคลับภาพยนตร์มาร์เวลหลายคนรู้สึกตื่นเต้นมากขึ้นกับภาพยนตร์เรื่องนี้คงจะเป็นการกลับมาของนาตาลี พอร์ตแมนที่ได้สวมบทบาทเป็นเจน ฟอสเตอร์อีกครั้งตามที่เราเห็นในตัวอย่างของภาพยนตร์ โดยเรานั้นจะได้รู้ถึงที่มาที่ไปว่าเพราะเหตุใดเธอจึงสามารถครอบครองค้อนโยเนียร์ได้สำเร็จ และการกลับมาของเธอในครั้งนี้ก็ไม่ได้เป็นเพียงแค่การเรียกกระแสเพียงแค่อย่างเดียว แต่มันยังจะส่งผลต่อตัวละครหลักของภาพยนตร์อย่างเทพเจ้าธอร์อีกด้วย ที่สำคัญคือมันช่วยให้ภาพยนตร์เรื่องนี้กลับมามีเรื่องรักๆ ใคร่ๆ สุดโรแมนติกอีกครั้งหลังจากที่หายไปอย่างยาวนาน
ปกติเราจะล้อเลียนกันว่าภาพยนตร์เรื่อง THOR มักจะมาพร้อมกับภาพโปสเตอร์สีสันสดใสแต่เรื่องราวที่อยู่ภายในนั้นเต็มไปด้วยความดราม่าดำมืด แต่นี่คือการกำกับครั้งที่สองของไทเกอร์ ไวทิทิแล้ว มันเลยทำให้เขามีความกล้าและความมั่นใจมากขึ้นกว่าเดิมที่จะใส่มุกตลกๆเ ข้ามาในสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยความคับขันอย่างเห็นได้ชัด แถมยังสามารถทำออกมาได้ดีเสียด้วย ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้มีความตึงเครียดเหมือนกับที่ผ่านมาโดยเฉพาะใน 2 ภาคแรกถึงขนาดนั้นแต่ก็ยังคงกลิ่นอายความเป็นภาพยนตร์เทพเจ้าธอร์เอาไว้ได้เป็นอย่างดี
และสิ่งที่จะขาดไปไม่ได้เลยสำหรับภาพยนตร์มาร์เวลที่มักจะกลายเป็นที่พูดถึงทุกครั้งหลังจากที่ภาพยนตร์ออกฉายก็คือเพลงประกอบ หากคุณเห็นโปสเตอร์แล้วก็คงจะเดาได้ไม่ยากว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เรื่องใช้เพลงร็อคเป็นเพลงประกอบแทบจะเป็นส่วนใหญ่เลยทีเดียว ยิ่งได้ไมเคิล จีแอ็กชิโนมานั่งแท่นเป็นผู้ดูแลเพลงประกอบด้วยแล้วยิ่งเพิ่มความรักให้กับภาพยนตร์หน้าขึ้นกว่าเดิมไปอีก เขาได้สร้างเพลงธีมใหม่ให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้และมันก็ออกมายอดเยี่ยมและเหมาะสมกับเรื่องราวที่เล่าเป็นอย่างมาก
โดยรวมแล้วมันจึงเป็นภาพยนตร์ที่สามารถทำออกมาได้ดีไม่ใช่เป็นเพียงแค่ภาพยนตร์ภาคต่อที่ทำออกมาเพื่อสานต่อจักรวาล AVENGERS เพียงแค่อย่างเดียวเท่านั้นแต่อย่างใด ใครที่ชื่นชอบเทพเจ้าธอร์ขอแนะนำว่าไม่ควรพลาดโดยเด็ดขาดโดยเฉพาะการรับชมในโรงภาพยนตร์ เพราะคุณจะได้เห็นงานเอฟเฟคและคอมพิวเตอร์ CG แบบตระการตาอย่างแน่นอน