ชื่อเรื่อง | The Babysitter |
เรตติ้ง | 5.8 |
นักแสดง | Samara Weaving,Bella Thorne,Judah Lewis |
จำนวนตอน | 1.41 ชั่วโมง |
รีวิวหนัง The Babysitter Netflix
รีวิวหนัง The Babysitter Netflix ภาพยนตร์แนวคัลท์ที่ผสมผสานระหว่างความสยองขวัญและความตลก ถ้าพูดถึงภาพยนตร์แนวสยองขวัญแล้วคนส่วนใหญ่มักจะคิดว่าภาพยนตร์ฝั่งตรงกันข้ามก็คือภาพยนตร์ตลก พระภาพยนตร์สยองขวัญนั้นมักจะเต็มไปด้วยเรื่องราวที่น่ากลัวและความเคร่งเครียด เรื่องราวสุดดราม่าเข้มข้นที่จะทำให้เราดำดิ่งลงไปกับความดำมืดของเรื่องราว แต่สำหรับภาพยนตร์ตลกแล้วมันมอบความสนุกสนานให้กับเราโดยแทบที่จะไม่ต้องคิดอะไรมากมาย โลกในภาพยนตร์ทั้ง 2 แนวนี้จึงเปรียบเสมือนกับโลกคู่ขนานกันเลยทีเดียว
แต่ก็มีหลายครั้งไม่น้อยเช่นเดียวกันที่ผู้สร้างภาพยนตร์ตัดสินใจนำเอาภาพยนตร์ตลกกับภาพยนตร์สยองขวัญมารวมกัน แถมเมื่อผลงานออกมายังมีความน่าสนใจอย่างยอดเยี่ยมอีกด้วย อย่างเช่นภาพยนตร์ไทยมีให้เห็นหลายเรื่องโดยเฉพาะเรื่องที่ได้รับความนิยมมากที่สุดอย่างบุปผาราตรี
หากใครที่ชอบภาพยนต์แนวสยองขวัญตลกเราขอแนะนำภาพยนตร์เรื่อง The Babysitter ปัจจุบันออกมาแล้วทั้ง 2 ภาคด้วยกัน เป็นภาพยนตร์ Original จาก Netflix แนวคัลท์ที่ฟังดูเข้าใจยากแต่เชื่อเถอะว่าหากคุณได้รับชมแล้วจะต้องชื่นชอบภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างแน่นอน เพราะภาพยนตร์ไม่ได้ขายแค่เนื้อหาความสยองขวัญหรือความตลกเท่านั้นแต่ยังมาครบรถไม่ว่าจะเป็นความซาบซึ้ง ความโรแมนติก และการเติบโตแบบ Coming Of Age
ที่สำคัญคือมันเป็นภาพยนตร์แนวที่คุณไม่เคยรับชมมาก่อนอย่างแน่นอน เพราะสไตล์ของมันมีความแบบแนวเป็นอย่างมาก ทำให้มันถูกเรียกว่าเป็นหนังคัลท์ที่มีเพียงเฉพาะคนบางกลุ่มเท่านั้นที่ชื่นชอบเนื่องจากไอเดียค่อนข้างที่จะแปลกจนทำให้หลายคนอาจจะเข้าไม่ถึง แต่สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ถือว่าค่อนข้างรับชมง่ายไม่น้อย
เรื่องราวในภาพยนตร์เรื่อง The Babysitter
The Babysitter เป็นภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงามหลังจากออกภาคแรกมามันจะมีภาค 2 ตามออกมาด้วย โดยภาคแรกจะเล่าถึงเรื่องราวของเด็กชายวัย 12 ปีที่มีชื่อว่าโคล เวลาที่อยู่โรงเรียนนั้นเขาเป็นเพียงแค่เด็กที่แพ้ที่ถูกแกล้งไม่เว้นแต่ละวันจากทั้งเพื่อนและรุ่นพี่ ไม่เพียงเท่านั้นเขายังไม่สามารถปกป้องตัวเองได้เลยแม้แต่น้อยทำให้ต้องยอมถูกแกล้งอยู่เป็นประจำ
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงมีเรื่องน่าอิจฉาไม่น้อยเช่นเดียวกันเพราะพี่เลี้ยงของเขาที่มีชื่อว่า Be นั้นเป็นสาววัยรุ่นสุดเซ็กซี่ที่พ่อแม่ของเขาจ้างให้มาดูลูกชายขณะที่ทั้งสองคนตระเวนเที่ยวไปทั่ว เป็นโชคดีที่ทั้งเด็กชายและพี่เลี้ยงสุดเซ็กซี่นั้นเข้าขากันได้ดีแบบไม่น่าเชื่อ ทั้งสองพูดคุยกันได้ทุกเรื่องแถมยังเข้าใจกันเป็นอย่างดีอีกด้วย ด้วยเหตุนี้ทำให้เด็กชายที่กำลังจะโตเป็นวัยรุ่นแอบหลงรักโดยที่ไม่ให้เธอรู้
เขาไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้วพี่เลี้ยงคนสวยของเขานั้นเป็นถึงหัวหน้ากลุ่มที่บูชาปีศาจ โดยในกลุ่มจะมีเพื่อนอีก 4 คนด้วยกันที่แต่ละคนมีนิสัยแปลกประหลาดเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน ด้วยเหตุนี้เด็กชายจึงต้องพยายามเอาตัวรอดจากกลุ่มพี่เลี้ยงตัวแสบให้สำเร็จทั้งที่ตัวเองเป็นเด็กขี้แพ้ก่อนที่จะถูกทำให้กลายเป็นของบูชายัญในพิธีของบี
ส่วนภาค 2 นั้นจะเล่าเรื่องราวต่อจากภาค 1 ที่เด็กชายสามารถเอาชนะพี่เลี้ยงวิปริตได้สำเร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แน่นอนว่าเขาเล่าให้ใครฟังก็ไม่มีใครเชื่อเลยแม้แต่น้อยแถมยังถูกกล่าวหาว่าเสียสติอีกต่างหาก ด้วยเหตุนี้เขาจึงพยายามที่จะลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตทั้งหมดแต่แล้วกลุ่มของพี่เลี้ยงตัวแสบอย่างดีก็ได้กลับมาหาเขาอีกครั้ง
ความรู้สึกหลังรับชมภาพยนตร์เรื่อง The Babysitter
The Babysitter เป็นภาพยนตร์ที่มีความคล้ายคลึงกับภาพยนตร์เรื่องโดดเดี่ยวผู้น่ารักหรือโฮมอโลนไม่น้อยเลยทีเดียว ลักษณะการเล่าเรื่องนั้นจะมาแบบเกมวิ่งไล่จากที่เหยื่อและผู้ร้ายอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน เพียงแต่ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้มีฉากรุนแรงและติดเรทอายุไม่เกิน 18 ปีควรให้คำแนะนำอีกด้วยเนื่องจากมีฉากรุนแรงมากมายถึงขั้นเลือดสาด ไม่เพียงเท่านั้นกลุ่มผู้ร้ายอย่างเพื่อนของบีนั้นก็เต็มไปด้วยความวิกลจริตที่ทำให้เวลาพวกเขาไล่ฆ่าจะมีความสยองขวัญมากยิ่งขึ้น
แต่ความตลกร้ายของภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือแม้ว่าตัวละครภายในเรื่องจะตายสยดสยองมากแค่ไหนก็ตามแต่สุดท้ายแล้วมันก็จะแฝงไปด้วยความตลกที่เราเหมือนจะขำแต่ก็ขำไม่ออกตามเสน่ห์ของภาพยนตร์แนวตลกร้ายนั่นเอง ในส่วนของภาคแรกนั้นภาพยนตร์ค่อนข้างที่จะครบรสเลยทีเดียว แต่อย่างไรก็ตามต้องยอมรับว่ามันค่อนข้างที่จะมีความเละเทะไม่น้อยแถมยังเต็มไปด้วยความไม่สมเหตุสมผลอีกด้วย แต่ความเละเทะและความไม่สมเหตุสมผลนี่เองที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้มีความสนุกมากยิ่งขึ้น
และสำหรับใครที่รับชมภาคที่ 1 เป็นที่เรียบร้อยแล้วเราก็อยากจะแนะนำให้ลองรับชมภาคที่ 2 รับรองว่าความสนุกไม่แพ้กันแถมมันยังจะทำให้คุณรู้สึกหลงรักไปกับตัวละครภายในเรื่องมากยิ่งขึ้นไปอีกด้วย แม้ว่ามันจะเป็นหนังต้นทุนต่ำแต่ก็เต็มไปด้วยความแปลกแนวและไหวพริบที่น่าสนใจมากมาย
ด้วยความที่มันเป็นภาพยนตร์แนวคัลท์ เราจึงไม่สามารถบอกได้ว่าข้อเสียของภาพยนตร์เรื่องนี้คือความไม่สมเหตุสมผลเพราะมันคือความตั้งใจของทีมผู้สร้าง แต่ถ้าจะมีอะไรที่ทำให้รู้สึกว่าเป็นจุดด้อยของภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คงจะเป็นเรื่องโลเคชั่นที่มีฉากอยู่เพียงแค่ในบ้านเท่านั้น ส่วนมุกตลกหลายมุกนั้นเป็นมุกเฉพาะกลุ่มของเหล่าเด็กเนิร์ด