ชื่อเรื่อง | Jumper |
เรตติ้ง | 6.1 |
นักแสดง | Hayden Christensen,Samuel L. Jackson,Rachel Bilson |
จำนวนตอน | 1.28 ชั่วโมง |
รีวิวหนัง Jumper Netflix
รีวิวหนัง Jumper Netflix ภาพยนตร์แนวแฟนตาซีผจญภัยสุดตื่นเต้นจากยุค 2000 ถ้าพูดถึงภาพยนต์ในอดีตหลายคนจะไปนึกถึงภาพยนตร์ในยุค 90 กันเป็นส่วนใหญ่ความเป็นจริงและภาพยนตร์ในยุค 2000 นั้นก็เต็มไปด้วยความสนุกสนานไม่แพ้ไปกว่ากันเลยทีเดียวจากยุค 2000 นั้นเป็นยุคที่กำลังอยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่านของเทคโนโลยีเป็นช่วงที่มีการพัฒนาของเทคโนโลยีก้าวหน้าอย่างรวดเร็วจนทำให้อุตสาหกรรมภาพยนตร์มีเทคนิคในการถ่ายทำและการนำเสนอแบบใหม่ ๆ มากมาย
มันอาจจะไม่ได้เต็มไปด้วยความคลาสสิคเหมือนกับยุค 90 หรือดูทันสมัยสมจริงเหมือนกับในปัจจุบัน แต่มันก็มีเสน่ห์เป็นของตัวเองอย่างเช่นภาพยนตร์ที่เราจะมาแนะนำกันในวันนี้ก็เป็นภาพยนตร์ในยุค 2000 โดยฉายในปี 2008 นั่นก็คือภาพยนตร์เรื่อง Jumper เป็นภาพยนตร์แนวแฟนตาซีผจญภัยผสมผสาน Action Scifi และระทึกขวัญเข้ามาด้วยเป็นภาพยนตร์ที่เหมาะสำหรับการรับชมเพลิน ๆ
ในช่วงวันหยุดหรือเวลาว่างแม้ว่ามันอาจจะไม่ใช่ภาพยนตร์ในความทรงจำของหลายคนหรือเป็นภาพยนตร์ในตำนาน แต่โดยรวมแล้วถือว่ามันเป็นภาพยนตร์ที่มีความสนุกไม่น้อยภาพยนตร์เรื่องนี้ได้คะแนนบน imdb ไปถึง 6.1 คะแนนเป็นคะแนนระดับกลางๆที่สามารถพอพิจารณาได้ว่าภาพเรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ที่สามารถมอบความสนุกสนานให้กับเราได้ แต่อย่างไรก็ตามด้วยความที่มันไม่ได้อยู่ในเรทคะแนนสูงทำให้อาจจะต้องทำใจเอาไว้บ้างส่วนหนึ่งว่าอาจจะมีบางส่วนของภาพยนตร์ที่ทำให้เรารู้สึกขัดหูขัดตาไปบ้างก็เป็นได้ภาพยนตร์เรื่องนี้จะเป็นอย่างไรและจะถูกจริตกับคุณหรือไม่วันนี้เราจะพาคุณไปรู้จักกับมันให้มากยิ่งขึ้นกัน
เรื่องราวในภาพยนตร์เรื่อง Jumper
Jumper เป็นภาพยนตร์ที่จะเล่าถึงเรื่องราวของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่มีชื่อว่าเดวิลเดิมทีเขาก็เหมือนกับเด็กหนุ่มธรรมดาทั่วไปที่ใช้ชีวิตอย่างสนุกสนานในแต่ละวัน แต่แล้ววันหนึ่งชีวิตของเขาก็ต้องเปลี่ยนไปตลอดกาลเมื่อเขานั้นได้ค้นพบกับพลังลึกลับบางอย่างที่ทำให้เขานั้นสามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้ตามความต้องการอย่างอิสระเสรีเพียงแค่เราทำการกระโดดความสามารถพิเศษนี้ก็จะพาเขาเดินทางไปยังสถานที่ที่เขาต้องการให้เลยในทันที
ความสามารถพิเศษดังกล่าวนี้ช่วยให้เขาสามารถใช้ชีวิตในแต่ละวันได้อย่างสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น แต่น่าเสียดายที่ถึงแม้ว่าเขาจะเก็บเรื่องเหล่านี้เอาไว้เป็นความลับ แต่มันกลับถูกเปิดเผยโดยองค์กรลึกลับองค์กรหนึ่งที่คอยจัดการไล่ฆ่าผู้ที่มีพลังพิเศษดังกล่าวด้วยเหตุนี้เด็กหนุ่มจึงต้องพยายามหนีตายด้วยการใช้พลังพิเศษหนีไปตามสถานที่ต่างๆโชคยังเข้าข้างเมื่อเขานั้นได้เดินทางไปยังสถานที่แห่งหนึ่งและได้พบเข้ากับกริฟฟินที่อุดมไปด้วยประสบการณ์
และมีเทคนิคในการใช้พลังเหนือกว่าคนอื่นแถมเขายังรู้เรื่องราวเกี่ยวกับองค์กรลึกลับที่ตามไล่ล่าเหล่าผู้มีพลังพิเศษเหล่านี้อีกด้วยด้วยเหตุเด็กหนุ่มจึงได้รับรู้ความจริงเกี่ยวกับพลังพิเศษของเขาเพิ่มขึ้นอีกมากมายรวมไปถึงคนที่กำลังพยายามไล่ล่าเขาอยู่ด้วยแม้ว่ามันจะมีบางสิ่งบางอย่างที่ค้างคาในใจ แต่สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะยืนหยัดต่อสู้กับองค์กรดังกล่าวด้วยพลังพิเศษที่เขามีชีวิตของเขาจะเป็นอย่างไรต่อไปต้องติดตามรับชมกันในภาพยนตร์
ความรู้สึกหลังรับชมภาพยนตร์เรื่อง Jumper
Jumper เป็นภาพยนตร์ที่ให้ความรู้สึกคล้ายคลึงกับภาพยนตร์เรื่อง X-men ไม่น้อยเลยทีเดียวเนื่องจากตัวละครหลักนั้นมีพลังพิเศษแถมเหล่าผู้มีพลังวิเศษเหล่านี้ยังถูกตามล่าด้วยองค์กรหนึ่งอีกด้วยด้วยความที่มันเป็นเพล็อตสามัญประจำบ้านดังนั้นไม่ว่าใครรับชมก็ตามต่างก็สามารถชื่นชอบภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ไม่ยากเรื่องราวค่อนข้างมีความกระชับและเดินเรื่องฉับไวให้ความรู้สึกคล้ายกับภาพยนตร์เด็กที่มีความเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาเล็กน้อยมีการสอดแทรกปมปัญหาเข้ามามากมายที่น่าสนใจ
แต่อย่างไรก็ตามด้วยความที่ตัวละครของเรายังเป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มเท่านั้นดังนั้นมันจึงมีหลาย ๆ ครั้งที่การตัดสินใจของเขามันช่างขัดใจของเราเสียเหลือเกินความอยากรู้อยากเห็นจนทำให้ถูกจับผิดได้ง่ายตายเกินกว่าที่เราคาดหวังเอาไว้ก็จะทำให้เรารู้สึกผิดหวังได้และด้วยความที่มันเป็นภาพยนตร์แนวภาพยนตร์เด็กทำให้ผู้ใหญ่อย่างเราเวลารับชมแล้วก็อาจจะรู้สึกเบื่อได้ง่ายเนื่องจากมันสามารถเดาทิศทางการดำเนินเรื่องราวต่อไปได้ไม่ยาก
ไม่เพียงเท่านั้นปมที่ใส่เข้ามาหลากหลายกลับไม่สามารถคลี่คลายได้ทั้งหมดตัวละครบางตัวมีติดแสดงแข็งไปบ้างจนทำให้เรารู้สึกไม่ค่อยเชื่อและเรื่องราวดูไม่ค่อยสมจริงมีหลายอย่างที่ดูไม่สมเหตุสมผลเป็นอย่างมากโดยเฉพาะการตัดสินใจของตัวละครที่อาจจะทำให้เรารู้สึกหงุดหงิดได้ง่ายในส่วนของฉากการต่อสู้นั้นถือว่าสามารถทำออกมาได้กำลังพอดี แต่อย่างไรก็ตามมันไม่ใช่ฉากต่อสู้ที่เต็มไปด้วยความดุเดือดหรือเมามัน
แต่อย่างใดเนื่องจากตัวละครหลักของเรามีพลังพิเศษสำหรับการเดินทางไม่ใช่การต่อสู้ดังนั้นมันจึงเป็นจุดอ่อนที่ทำให้ถูกจัดการได้ง่ายเช่นเดียวกัน แต่ถ้าพูดถึงในส่วนของความแฟนตาซีหรือความลุ้นระทึกความสนุกสนานในการผจญภัยไปตามสถานที่ต่างๆถือว่าสามารถทำได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียวภาพยนตร์เรื่องนี้มันจึงอาจจะไม่ใช่ภาพยนตร์ที่มีความสนุกสนานแบบหวือหวา แต่เป็นภาพยนตร์เอาไว้รับชมเพื่อผ่อนคลายจากวันเครียด ๆ รับชมแบบไม่ต้องคิดอะไรเลยมากกว่า