ชื่อเรื่อง Below Zero Netflix
เรตติ้ง6.2
นักแสดง Javier GutiérrezKarra ElejaldeLuis Callejo
จำนวนตอน 1.46 ชั่วโมง

รีวิวหนัง The Midnight Sky

รีวิวหนัง The Midnight Sky ภาพยนตร์ที่ขาดทุนย่อยยับก่อนนำมาลงฉายบน netflix รายได้ของภาพยนตร์นั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าภาพยนตร์เรื่องนั้นสามารถนำเสนอออกมาได้ดีแค่ไหนเพียงอย่างเดียว แต่มันยังรวมไปถึงการโปรโมทอีกด้วย แม้ว่าภาพยนตร์จะดี มีทุนสร้างมหาศาล แต่หากไม่มีการโปรโมทมากพอผู้คนก็ไม่รับรู้ว่ามันดีอย่างไร บางคนถึงขั้นที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีการออกฉายภาพยนตร์เรื่องนั้นอยู่ เป็นเรื่องที่น่าเสียดายเป็นอย่างมากที่ภาพยนตร์เรื่องหนึ่งต้องมาล้มเหลวกับการโปรโมท

The Midnight Sky เป็นอีกหนึ่งเหยื่อการโปรโมทที่ไม่ได้รับการวางแผนให้ดีจนทำให้มันแทบจะไม่เป็นที่รู้จักเลยสำหรับผู้คนทั่วไป ช่วงเวลาที่ออกฉายยังเป็นช่วงเวลาที่การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส covid-19 ยังคงดำเนินอยู่ ทำให้ภาพยนตร์ทุนสร้าง 100 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐเรื่องนี้สามารถทำรายได้ไปเพียงแค่ 70,000 กว่าเหรียญดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น

เป็นภาพยนตร์ที่ขาดทุนย่อยยับจน netflix ซื้อลิขสิทธิ์มาฉายบนแพลตฟอร์มของตนเอง แต่รายได้เพียงแค่หลักหมื่นยังไม่ย่ำแย่เท่าเสียงวิจารณ์ที่ได้รับคะแนนบนเว็บไซต์ rotten Tomato ไปเพียงแค่ 50% เท่านั้น ดังนั้นถึงแม้ว่ามันจะเป็นภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์แต่มันก็ไม่ใช่ภาพยนตร์ที่เหมาะสำหรับการฉายลงในโรงภาพยนตร์ตั้งแต่ต้น

ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้ย่ำแย่มากมายแต่มันอาจจะไม่สามารถตอบโจทย์ความคาดหวังของผู้คนที่เสียเงินเข้าไปรับชมในโรงภาพยนตร์ได้เท่านั้น แต่สำหรับการเป็นภาพยนตร์บน netflix มันก็คุ้มค่าสำหรับการรับชมไม่น้อย เพราะเป็นภาพยนตร์แนววิทยาศาสตร์ไซไฟที่ผสมผสานกับความดราม่าได้เป็นอย่างดี ระหว่างการรับชมนั้นเราจะได้รับข้อคิดสะท้อนชีวิตมากมายให้ได้ขบคิดกันต่อ

เรื่องราวในภาพยนตร์เรื่อง The Midnight Sky

The Midnight Sky เล่าถึงเรื่องราวของโลกที่เดินทางมาถึงหายยานะในอนาคต ผู้คนไม่สามารถใช้ชีวิตตามปกติบนผิวโลกได้อีกต่อไป ทำให้พวกเขาต้องอพยพลงไปอาศัยอยู่ในชั้นใต้ดิน แต่มีนักวิทยาศาสตร์สูงอายุคนหนึ่งที่ตัดสินใจจะอยู่บนผิวโลกภายในหอวิทยุส่งสัญญาณเพื่อติดต่อกับยานสำรวจนอกอวกาศลำหนึ่งที่กำลังเดินทางกลับมาจากดวงจันทร์ของดาวพฤหัส 

ยานลำนี้จะนำพามาซึ่งข้อมูลที่ชี้ชะตาว่ามนุษย์จะสามารถย้ายไปอาศัยอยู่บนดวงดาวดวงนั้นได้หรือไม่ แต่ไม่ว่าจะรอคอยนานแค่ไหนก็ไม่เคยมีการตอบกลับจากยานลำนั้นเลยแม้แต่น้อย เขาจึงยังคงต้องอาศัยอยู่อย่างเด็ดเดี่ยวบนสถานีกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็นใบ้และขอความช่วยเหลือจากเขา ส่วนเขาเองก็ยังไม่ละทิ้งความพยายามในการแจ้งข่าวเกี่ยวกับหายานะบนโลกให้ยานอวกาศลำนั้นรับทราบ นั่นก็เป็นเพราะว่าอดีตสมัยที่เขายังเป็นวัยรุ่นเขามุ่งมั่นในการค้นคว้าและสำรวจเกี่ยวกับดวงดาวจนทำให้ความสัมพันธ์ของเขาและแฟนสาวต้องจบลงไป 

แต่ด้วยความที่เป็นคนชราทำให้เขานั้นป่วยเป็นโรคที่จำเป็นจะต้องถ่ายเลือดอยู่เป็นประจำ ประกอบกับการต้องเลี้ยงดูเด็กสาวทั้งที่เขาไม่เคยมีครอบครัวมาก่อนทำให้มีอุปสรรคมากมาย แต่มันก็ทำให้ทั้งสองคนนั้นเกิดเป็นความรักความผูกพันระหว่างครอบครัวขึ้นมา

ในขณะเดียวกันบนยานอวกาศที่กำลังเดินทางมายังโลกนั้นไม่ได้รู้เลยว่าบนโลกนั้นไม่มีผู้คนหลงเหลืออาศัยอยู่บนผิวโลกอีกต่อไปแล้ว แม้แต่นาซ่าก็ไม่มีอีกต่อไป พวกเขาเข้าใจว่าข้อมูลเกี่ยวกับหายนะของโลกนั้นเป็นเพียงแค่ความผิดพลาดจากฝั่งของตัวเอง ทำให้ลูกเรือแต่ละคนนั้นตัดสินใจที่จะทำบางสิ่งบางอย่างที่แตกต่างกันออกไป สุดท้ายแล้วเรื่องราวของพวกเขาจะลงเอยอย่างไร ต้องไปติดตามรับชมต่อในภาพยนตร์

ความรู้สึกหลังการรับชมภาพยนตร์เรื่อง The Midnight Sky

The Midnight Sky เป็นภาพยนตร์ดราม่าที่ผสมผสานเข้ากับวิทยาศาสตร์ไซไฟได้เป็นอย่างดี ท่ามกลางหายนะของโลกเราจะพบหินความสิ้นหวังของผู้คนแต่ก็ยังคงต้องพยายามมีชีวิตรอดต่อไปให้ได้ แม้ว่าการดำเนินเรื่องเราจะค่อนข้างราบเรียบไม่ได้มีอะไรให้ตื่นเต้นมากมาย แต่ก็มีอุปสรรคเข้ามาแทบจะตลอดเวลาให้เราได้ลุ้น ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางฝ่าขั้วโลกไปยังสถานีจนทำให้ชายแก่และเด็กสาวเกือบจะต้องตาย การที่ยานอวกาศพบเศษอุกกาบาตพุ่งเข้ามาชน 

งาน Visual effects ก็สามารถทำออกมาได้ดีและสมจริง แต่ส่วนใหญ่แล้วภาพยนตร์จะเล่าเน้นเรื่องราวแนวดราม่าชีวิตมากกว่า ซึ่งอาจจะไม่ใช่แนวที่ได้รับความนิยมทำให้มันไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ผู้คนส่วนใหญ่เข้าไปรับชมภาพยนตร์แนววิทยาศาสตร์ไซไฟเพราะต้องการจะรับชมเทคโนโลยีและการต่อสู้กันอย่างเมามัน แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้รับชมได้

ดังนั้นต้องบอกว่ามันไม่ใช่ภาพยนตร์ที่แย่เพราะเรื่องราวนั้นได้แฝงข้อคิดเกี่ยวกับการใช้ชีวิตมากมายให้เราได้ตระหนักและนำไปคิดต่อ ท่ามกลางสภาวะที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวังยังคงมีความหวังอยู่เสมอ เพียงแต่ว่ามันอาจจะไม่ได้เหมาะสำหรับผู้รับชมทุกกลุ่มเท่านั้น 

หากคุณเป็นคนที่ชื่นชอบภาพยนตร์แนวแอ็กชันไซไฟ ภาพยนตร์เรื่องนี้จะไม่ตอบโจทย์ความต้องการของคุณในการเห็นฉากต่อสู้สุดมันส์ แต่หากคุณชื่นชอบบรรยากาศสุดเวิ้งว้างทางเทคโนโลยีและความสิ้นหวัง ภาพยนตร์ที่จะแสดงให้เห็นถึงสัจธรรมของการใช้ชีวิต ภาพยนตร์เรื่องนี้จะสามารถทำให้คุณเพลิดเพลินและชื่นชอบได้ไม่ยาก

ตัวอย่างหนัง The Midnight Sky

รีวิว หนัง The Midnight Sky จาก playinone

หนังสร้างจากนิยายชื่อ Good Morning, Midnight  และลงโรงแบบจำกัดเมื่อต้นเดือนธันวาคม ทำเงินไป 75,615 เหรียญ จากทุนสร้าง 100 ล้านเหรียญ ขาดทุนย่อยยับ ก่อนที่ Netflix จะซื้อมาลงในระบบทันที ซึ่งคะแนนของทั้งนักวิจารณ์จากสื่อและผู้ชมถือว่าย่ำแย่มาก ราวๆ 50% จากเว็บไซต์ https://www.rottentomatoes.com/m/the_midnight_sky ซึ่งอาจจะเป็นความคาดหวังของคนตีตั๋วดูโรงเสียเงินซะเป็นส่วนใหญ่  แต่จากที่ดูใน Netflix ถือว่าไม่ได้เลวร้ายอะไรขนาดนั้นเลย และในบางมุมที่คนชอบแนวดราม่าสะท้อนชีวิตมนุษย์ก็อาจจะโดนใจเลยก็ได้

หนังสร้างและกำกับรวมถึงนำแสดงเองโดย “จอร์จ คลูนี่ย์” กับการเปิดเรื่องราวมาก็คือโลกถึงหายนะแล้วในอนาคต ผู้คนต้องลงไปอยู่ชั้นใต้ดิน แต่ “ออกัสตีน” นักวิทย์ศาสตร์สูงวัยกลับเลือกอยู่บนผิวโลกต่อไป โดยอาศัยอยู่ในหอวิทยุที่ส่งสัญญาณออกสู่ห้วงอวกาศเพื่อติดต่อกับยานสำรวจลำหนึ่งที่กำลังกลับมาจากดวงจันทร์ K-23 ของดาวพฤหัสบดี ซึ่งภารกิจของยานลำนี้คือการไปสำรวจเพื่อตอบสมมุติฐานของออกัสตีนที่ชี้ว่า ดาวดวงนี้มนุษย์สามารถไปอยู่อาศัยได้ แต่กลับไร้สัญญาณตอบรับกลับมาจากยาน ท่ามกลางความโดดเดี่ยวในสถานีเขากลับพบเด็กหญิงคนหนึ่งที่พูดไม่ได้ และต้องการความช่วยเหลือจากเขาอยู่

อีกด้านคือเรื่องราวในยานอวกาศที่ออกแบบมาแนวยานเดินทางไกล สามารถใช้ชีวิตในนั้นได้ยาวนาน และเป็นทีมสำรวจดาวดวงใหม่เพื่อให้มนุษย์ไปตั้งรกราก และกำลังเดินทางกลับมาโดยไม่รู้ว่าคนบนโลกไม่เหลืออยู่แล้วแม้แต่นาซ่า ทำให้ลูกเรือในยานไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบนโลก แต่คิดว่าปัญหาน่าจะเกิดจากความผิดพลาดของฝั่งตัวเอง ตัวเรื่องฝั่งนี้จะค่อยๆ ให้เห็นว่าชีวิตที่มีความหวังของแต่ละคนเป็นอย่างไร ก่อนที่จะมารู้ภายหลังว่าโลกที่กำลังกลับมานั้นไม่สามารถอาศัยได้อยู่อีกต่อไปแล้ว ซึ่งก็กลายมาเป็นดราม่าเมื่อชีวิตสิ้นหวัง ก่อนที่ตอนจบแต่ละคนจะตัดสินใจแตกต่างกันออกไป และก็มีดราม่าบางส่วนที่เชื่อมกลับมายังเรื่องราวของออกัสตีนบนโลกอีกครั้ง

แทบทั้งเรื่องทั้งสองฝั่งถูกเล่าออกมาแบบเรียบๆ ไม่ค่อยมีเหตุการณ์อะไรตื่นเต้นนัก แต่ก็ไม่ใช่ว่าส่วนนี้จะขาดหายไปเลย เพราะเรื่องก็มีฉากตื่นเต้นให้ลุ้นกันคนละครั้งใหญ่ๆ ของออกัสตีนจะเป็นฉากที่ต้องลุยฝ่าพายุขั้วโลกไปยังฐานแห่งใหม่ ซึ่งระหว่างทางนี้เองที่แทบคร่าชีวิตของเขากับเด็กสาวปริศนาไป ส่วนบนยานอวกาศก็จะมีฉากที่เจอกับเศษอุกาบาตพุ่งชน จนทำให้ลูกเรือได้รับบาดเจ็บ และตามมาด้วยการโชว์วิชวลเอฟเฟ็กต์เลือดลอยในสภาวะไร้แรงโน้มถ่วง ซึ่งถือว่าสมจริงและตื่นเต้นที่สุดในหนังแล้ว แต่หนังก็ไม่ได้ต้องการขายจุดนี้นัก เพราะมาแค่ฉากสั้นๆ ก่อนจะตัดข้ามจบเรื่องราวส่วนนี้ไปเลย ทำให้เรื่องดูราบเรียบไปหน่อยกับโครงเรื่องหายนะโลกแบบนี้ ไปเน้นปูดราม่าชีวิตของตัวละครมากกว่า ซึ่งถ้าคนไม่ชอบก็คงหลับได้เลย แต่ถ้าใครชอบแนวดราม่าชีวิตหน่อยก็คงดูเพลินๆ ได้ ยืนยันว่าเรื่องไม่ได้แย่ แต่แค่ไม่ได้หวือหวาอย่างที่ควรจะเป็นกับหนังฟอร์มใหญ่ทุนสร้างสูงแบบนี้เท่านั้นครับ ซึ่งพอไม่ต้องตีตั๋วไปดูก็เลยทำให้รู้สึกว่าไม่ได้คาดหวังอะไรมากมาย จนทำให้รู้สึกโอเคกับเรื่องนี้ที่หลายๆ อย่างดูดีกว่าหนัง Netflix ทำเองเยอะครับ

playinone

แนะนำ การลงทุน :ทำความรู้จัก UFABETufa777 หรือ ufabet369 ผู้ให้บริการระบบทางการเงิน อันดับ 1 ถ้าสนใจ สมัครบาคาร่า เล่นเกม บาคาร่า99 ที่มีบริการครบครัน sa game 66 ช่วยให้ท่านได้กำไรและปลอดภัย sa66 สร้างรายได้ง่ายๆ กับ จีคลับ6666 และ จีคลับ88888 สนใจคลิ๊กเลย

Leave a Comment

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *