ชื่อเรื่องThe Guilty
เรตติ้ง7.0
นักแสดงJake Gyllenhaal,Riley Keough,Peter Sarsgaard
จำนวนตอน1.30 ชั่วโมง

รีวิวหนัง The Guilty Netflix

รีวิวหนัง The Guilty Netflix ภาพยนตร์ดราม่าระทึกขวัญที่เพิ่มความกดดันให้คุณด้วยการต้องฟังเพียงอย่างเดียว มนุษย์เรานั้นมีประสาทสัมผัสทั้งหมด 5 รูปแบบด้วยการประกอบไปด้วยการมองเห็นการได้กลิ่นการสัมผัสการรับรสและการได้ยินประสาทสัมผัสเหล่านี้จะช่วยให้เราสามารถตีความสิ่งต่างๆได้อย่างง่ายดายและถูกต้องมากยิ่งขึ้น แต่ถ้าวันใดวันหนึ่งประสาทสัมผัสใดหายไปหรือใช้วิธีการสื่อสารที่ไม่อาจใช้ประสาทสัมผัสได้ครบถ้วนก็อาจจะทำให้เราต้องตกอยู่ในความกดดันหรือความตึงเครียดขึ้นได้เนื่องจากเราอาจจะมีความผิดพลาดอย่างเช่นการคุยโทรศัพท์

ที่เราได้ยินเพียงแค่น้ำเสียงอย่างเดียวหรือการพิมพ์ข้อความคุยกันที่เรามองเห็นแค่ตัวอักษรเท่านั้นภาพยนตร์ที่เราจะมาแนะนำกันในวันนี้เป็นภาพยนตร์แนวดราม่าระทึกขวัญที่เพิ่มความกดดันให้กับคุณด้วยการใช้เทคนิคการปรับประสาทสัมผัสของคุณออกไปเหลือเพียงแค่การได้ยินเท่านั้นนั่นก็คือภาพยนตร์เรื่อง The Guilty ที่เราบอกว่าคุณจะเพียงแค่ได้ยินเท่านั้นไม่ได้หมายความว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่มีภาพให้เราได้รับชม แต่อย่างใด

แต่เพราะตัวละครเอกของเรานั้นเป็น Operator สำหรับรับแจ้งเหตุด่วนเหตุร้ายที่ได้รับสายจากคนบางคนที่ต้องการให้เขาทำบางสิ่งบางอย่างการฟังเพียงแค่เสียงนั้นไม่ได้สร้างความกดดันและความสงสัยให้กับตัวละครเท่านั้น แต่ยังสร้างความกดดันและความสงสัยมาถึงเราอีกด้วยด้วยเหตุนี้มันจึงเป็นภาพยนตร์ที่มีความน่าสนใจในการรับชมเป็นอย่างมากเนื่องจากมีเทคนิคการเล่าเรื่องที่แปลกและแตกต่างออกไปนั่นเองเรื่องราวจะเป็นอย่างไรวันนี้เราจะพาทุกคนไปดูกัน

เรื่องราวในภาพยนตร์เรื่อง The Guilty

The Guilty เป็นภาพยนตร์ที่จะเล่าถึงเรื่องราวของชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีชื่อว่าโจเขาเป็นตำรวจสายสืบที่ได้รับหน้าที่ในการดูแลสายเบอร์ 9-11 ซึ่งเป็นเบอร์สำหรับการแจ้งเหตุด่วนเหตุร้ายจากประชาชนเขาถูกให้มาทำงานนี้เนื่องจากเขาติดทัณฑ์บนทำให้ไม่สามารถไปทำงานได้ตามปกติในวันพรุ่งนี้เขาต้องเดินทางไปยังศาลเพื่อทำการรับทราบข้อกล่าวหาคดีที่เขาได้ก่อเอาไว้ในเช้าวันนี้เขาก็ได้เดินทางมาทำงานตามปกติทั่วไปในเวลานั้นท่วมเมือง

เกิดเหตุไฟป่าจนทำให้ตำรวจบางส่วนต้องไปรับมือกับเหตุการณ์ดังกล่าว แต่แล้วก็มีสายของผู้หญิงคนหนึ่งโทรเข้ามาบอกว่าเธอชื่อเอมิลี่โจสามารถสัมผัสได้ถึงความผิดปกติทันทีเนื่องจากเอมิลเรียกเขาว่าที่รักอยู่ตลอดเวลาด้วยเหตุนี้เขาจึงให้เธอตอบเพียงแค่คำว่าใช่และไม่ใช่เท่านั้นและมันก็ทำให้เขารู้ว่าเอมิลี่ถูกลักพาตัวไปโดยคนที่เธอรู้จักเขาได้ทำการนำเอาพิกัดมาเช็คก่อนจะพบว่าเธออยู่ในทางทิศตะวันตกจากนั้นเขาก็เริ่มถอยถามไปเรื่อย ๆ จนทราบว่ารถที่เธออยู่นั้นเป็นรถตู้สีขาวจากนั้นเธอก็ให้เธอทำเหมือนว่าคุยกับลูกสาวก่อนจะติดต่อตำรวจให้ไปเข้าช่วยเหลือระหว่างการช่วยเหลือนั้น

หลายต่อหลายครั้งเต็มไปด้วยความยากลำบากเนื่องจากเอมิลี่ต้องพยายามให้เธอนั้นไม่ถูกจับได้ว่าโทรคุยกับตำรวจโจได้พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะช่วยหญิงสาวเอาไว้ให้ได้จนกระทั่งค้นหาฐานข้อมูลของเธอจนได้เบอร์บ้านเขาโทรไปก็มีเด็กเด็กหญิงมารับสายบอกว่าตัวเองชื่อแอ็บบี้และเธอมีน้องชายที่มีชื่อว่าโอลิเวอร์ส่วนพ่อของเธอนั้นชื่อว่าเฮนรี่เด็กหญิงรู้สึกกลัวเป็นอย่างมากเนื่องจากพ่อแม่ไม่อยู่บ้านด้วยเหตุนี้จึงบอกให้เด็กทั้งสองไปนั่งอยู่ข้างกันคอยเป็นเพื่อนกันและได้บอกให้ตำรวจทุกคนโอนสายคนที่ชื่อว่าเอมิลี่ให้กับเขาหลังจากที่สถานะการดำเนินไปเรื่อย ๆ โจก็เริ่มสังเกตถึงความผิดปกติได้สุดท้ายสิ่งที่เขาตัดสินใจทางจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่แล้วเอมิลีเป็นใครมีตัวตนจริงหรือไม่ต้องไปติดตามรับชมกันต่อในภาพยนตร์

ความรู้สึกหลังรับชมภาพยนตร์เรื่อง The Guilty

The Guilty เป็นภาพยนตร์แนวดราม่าระทึกขวัญที่สร้างความกดดันให้กับเราได้เป็นอย่างมากเนื่องจากพระเอกของเรานั้นเป็น Operator รับสาย 911 ด้วยความที่กำลังติดทัณฑ์บนอยู่ทำให้เขาไม่สามารถออกไปทำงานได้ด้วยตัวเองและสามารถทำได้เพียงแค่พูดคุยกับเหยื่ออย่างเอมิลี่เท่านั้นมันทำให้เรารู้สึกสงสัยและเต็มไปด้วยความกดดันไปพร้อม ๆ กับตัวละครได้เป็นอย่างดีและที่น่าสนใจไปมากกว่านั้นก็คือภาพยนตร์เรื่องนี้สามารถหักมุมได้อย่างน่าเหลือเชื่อ

จนเราอยากจะแนะนำให้ทุกคนได้ลองรับชมดูเองก่อนที่จะไปอ่านสปอยหรืออ่านเรื่องย่อไปมากกว่านี้เนื่องจากมันอาจจะทำให้คุณเสียอรรถรสในการรับชมได้ความโดดเด่นของภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือการเล่าเรื่องอยู่ในห้องทำงานของโจเป็นหลักโดยแทบจะไม่มีการตัดภาพออกไปข้างนอกเลยแม้แต่น้อยการที่เราเห็นแค่ตัวละครคุยโทรศัพท์นั้นกับสามารถสร้างความสนุกสนานให้กับเราได้อย่างยอดเยี่ยมเพราะมันจะทำให้เราได้จินตนาการว่าเจ้าของเสียงจากปลายนั้นเป็นคนอย่างไร

เกิดอะไรขึ้นกับเธอบ้างมันเต็มไปด้วยความระทึกขวัญและความท้าทายที่ช่วยให้เราสนุกสนานมากยิ่งขึ้นได้เป็นอย่างดีไม่เพียงเท่านั้นตรงทั้งหมดที่ขมวดมายังสามารถแก้ได้ทั้งหมดอย่างสมเหตุสมผลอีกด้วยเรียกได้ว่าเป็นภาพยนตร์ที่มีความสมบูรณ์แบบมากที่สุดอีกหนึ่งเรื่องเลยทีเดียว

ตัวอย่างหนัง The Guilty

รีวิว หนัง The Guilty บางส่วนจาก beartai

น่าจะเป็นการหวนกลับมาทำหนังแนวดราม่าตำรวจที่เคยสร้างชื่ออีกครั้งของผู้กำกับผิวดำคนดังอย่าง อังตอน ฟูกัว (Antoine Fuqua) ที่หลายคนก็น่าจะยังคงจำได้ดีอย่าง ‘Training Day’ (2001) หรือเรื่องหลังหน่อยก็ ‘Brooklyn’s Finest’ (2009) และน่าจะเป็นครั้งแรกที่เขามาทำหนังลงบริการสตรีมมิงชื่อดังอย่างเน็ตฟลิกซ์ ซึ่งก็เป็นความร่วมมือที่น่าสนใจทีเดียว

แม้จะน่าเสียดายนิดหน่อยที่ฟูกัวไม่ได้ทำหนังออริจินัลลงเน็ตฟลิกซ์ แต่เป็นนำหนังเดนมาร์กชื่อเรื่องเดียวกันของ กุสตาฟ โมลเลอร์ (Gustav Möller) เมื่อปี 2018 มารีเมก แถมบางคนยังอาจนึกไปถึงหนังอย่าง ‘The Call’ (2013) ที่ ฮัลลี เบอร์รี (Halle Berry) แสดงนำในบทพนักงานประจำสายด่วน 911 เข้าเสียอีก

แต่เอาเข้าจริงในขณะที่ ‘The Call’ จะนำเสนอในแนวทางธริลเลอร์ชัดเจนมีการตัดสลับเหตุการณ์คู่ขนานในที่ตัวเอกทำงานและภายนอกที่เป็นที่เกิดเหตุ ‘The Guilty’ กลับเด่นที่ธีมที่ต้องการเล่า โดยเอารูปแบบของดราม่าธริลเลอร์มาเป็นอาภรณ์เสียมากกว่า และความเด็ดดวงที่สุดก็คงไม่พ้นการที่หนังท้าทายนักแสดงและผู้ชม ด้วยการให้เห็นภาพแค่ในห้องทำงานของตัวเอกเป็นหลักโดยแทบไม่เคยตัดภาพออกไปยังโลกภายนอกเลยด้วย

ทุกอย่างที่เราได้รับรู้จะผ่านเสียงการสนทนาที่เราต้องจินตนาการเอาเองว่าปลายสายจะมีบุคลิกอย่างไร มีความสัมพันธ์แบบใดกับตัวเอก และตอนนี้เหตุการคับขันนั้นดำเนินไปอย่างไรแล้ว โดยทั้งนี้ตัวช่วยของเราในการรับรู้เรื่องราวก็มีเพียงสีหน้าท่าทาง อารมณ์น้ำเสียงของตัวเอกเท่านั้น

ความท้าทายที่ต้องแบกหนังเพียงลำพังแบบนี้ น่าจะเป็นของโปรดสำหรับนักแสดงสายฝีมืออย่าง เจก จิลเลนฮาล (Jake Gyllenhaal) เลยทีเดียว ด้วยก่อนหน้าไม่นานเขาก็เพิ่งมีผลงานชั้นดีร่วมกับฟูกัวมาแล้วในหนังหมัดมวยดราม่าเรื่อง ‘Southpaw’ (2015) พอมาเรื่องนี้เขาต้องรับบท โจ เบย์เลอร์ ตำรวจที่มีปัญหาชีวิตบางอย่างจนทำให้เขาดูเคร่งเครียดเหมือนคนสติแตกอยู่ตลอดเวลา

ความกระวนกระวายจนพาลเอานิสัยแย่ ๆ ใส่เพื่อนร่วมงานและคนรอบข้าง ทำให้เขาดูเป็นตัวละครตำรวจสีเทา ๆ ที่เรายังไม่รู้ว่าเขาทำผิดพลาดในชีวิตอะไรมา ซึ่งหนังจะค่อย ๆ เผยให้เราทราบเรื่องราวของเขามากขึ้นเรื่อย ๆ ไปพร้อมกับสถานการณ์สายหญิงสาวที่โทรมาร้องไห้ขอความช่วยเหลือจากการถูกลักพาตัว ที่ยิ่งเรื่องเดินไป ข้อมูลยิ่งมากขึ้นและความรุนแรงของคดีก็ยิ่งน่าหวาดหวั่นขึ้นด้วย พอผสมกับความไม่นิ่งขาดสติของตัวเบย์เลอร์เข้าด้วยแล้ว มันก็ยิ่งทำให้สถานการณ์ยิ่งย่ำแย่ลงทุกที

และการที่ผู้ชม (รวมถึงเบย์เลอร์) ต้องคิดไขสถานการณ์ผ่านเพียงเสียงบอกเล่าต่าง ๆ ทางโทรศัพท์เท่านั้น มันก็เลยเป็นรสชาติใหม่ ๆ สำหรับหนังแนวสืบสวน ที่เอาลูกเล่นนี้มาสนองตอบต่อธีมหรือสาระที่ต้องการเน้นย้ำได้อย่างน่าสนใจ น่าเสียดายเพียงว่าการคลี่คลายคดีกับการคลายปมในใจของเบย์เลอร์ที่เป็นธีมใหญ่ของเรื่องมันไม่ได้สอดรับกันนัก คือมันก็พอแถให้ได้ แต่ถ้าเป็นเรื่องเดียวกันสะท้อนซึ่งกันและกันชัด ๆ มันจะสวยกว่านี้แน่นอน

พอดูจบมาถึงเครดิตนักแสดงก็ยิ่งได้ว้าวขึ้นอีก เพราะในบรรดาเสียงทางโทรศัพท์ที่โทรเข้ามาล้วนมีนักแสดงดังมารับเชิญเช่น อีธาน ฮอว์ก (Ethan Hawke) ปีเตอร์ ซาร์สการ์ด (Peter Sarsgaard) และ พอล ดาโน (Paul Dano) เป็นต้น นี่จึงเป็นข้อแนะนำอีกอย่างว่าควรเปิดดูเสียงภาษาอังกฤษไปเลยคุ้มกว่า ส่วนใครมาตอนไหนเป็นตัวละครอะไรบ้าง อันนี้ไว้เป็นความสนุกในการทายและลุ้นของแต่ละคนเองเลยครับ

ส่วนตัวคิดว่าไม้เด็ดของหนังอีกอย่างคือบทสรุปที่ขึ้นเป็นเสียงข่าว และคำบรรยาย ที่มันกัดสังคมได้แสบดีจริง ๆ

beartai

หารายได้เสริมกับคาสิโนออนไลน์และแทงบอลออนไลน์ที่ดีที่สุด บริการ ufabet369 ฝากถอนรวดเร็ว 24 ชม. ด้วยระบบ ฝากถอนออโต้ เว็บตรงไม่ผ่านเอเย่นต์ ที่ทันสมัยที่สุด มีผู้ใช้งานมากที่สุดในตอนนี้

Leave a Comment

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *