ชื่อเรื่องSweet Girl
เรตติ้ง5.5
นักแสดงJason Momoa,Isabela Merced,Manuel Garcia-Rulfo
จำนวนตอน1.50 ชั่วโมง

รีวิวหนัง Sweet Girl Netflix

รีวิวหนัง Sweet Girl Netflix ภาพยนตร์แอ็กชันที่เต็มไปด้วยความดราม่า ภาพยนตร์แอ็กชันหรือภาพยนตร์แนวต่อสู้ส่วนใหญ่นั้นก็มักจะเล่าถึงเรื่องราวการแก้แค้นหรือเรื่องราวการทำภารกิจอะไรสักอย่างที่จะต้องเต็มไปด้วยการต่อสู้ มีบางครั้งที่ภาพยนตร์แนวนี้จะผสมผสานความดราม่าเข้ามาเพื่อเพิ่มให้ตัวภาพยนตร์มีบทที่เข้มข้นมากยิ่งขึ้น แต่ส่วนใหญ่แล้วก็มักจะผสมผสานเข้ามาเพียงแค่เล็กน้อยพอให้มีสีสัน ไม่ได้เน้นเล่าเรื่องราวความดราม่าแบบลงลึกแต่อย่างใด 

ด้วยเหตุนี้ทำให้หลายคนที่ชื่นชอบความดราม่าในภาพยนตร์แนวต่อสู้รู้สึกเสียดายเพราะปมในเรื่องควรจะถูกขยี้ได้มากกว่านี้ หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ชอบความดราม่าในภาพยนตร์แนวต่อสู้เราขอแนะนำภาพยนตร์เรื่อง Sweet Girl เป็นภาพยนตร์ Original ของ Netflix ที่มีการลงทุนค่อนข้างสูงเลยทีเดียว ถามนักแสดงนำยังไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นนักแสดงหนุ่มอย่างเจสัน โมโมอาที่โด่งดังทั้งในภาพยนตร์และซีรีส์หลายต่อหลายเรื่อง

แม้ว่าแก่นเรื่องนั้นจะไม่ได้มีอะไรไปมากกว่าการตามล้างแค้นให้กับครอบครัวและปกป้องครอบครัวเอาไว้ แต่ดราม่าที่ดูดาษดื่นนี้ภาพยนตร์กลับสามารถทำให้มันมีความน่าสนใจและแตกต่างไปจากภาพยนตร์เรื่องอื่นอย่างเห็นได้ชัด มันจึงเป็นภาพยนตร์ที่อยากให้ทุกคนได้ลองรับชมดู เพราะมันจะสร้างความสนุกสนานและความอินให้กับทุกคนได้อย่างแน่นอน

เรื่องราวในภาพยนตร์เรื่อง Sweet Girl

Sweet Girl เป็นภาพยนตร์ที่จะเล่าถึงชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีชื่อว่าเรย์ เขานั้นก็เหมือนกับชายหนุ่มธรรมดาทั่วไปที่มีคนรักและแต่งงานมีภรรยาที่รักกันดี ทั้งสองคนสร้างครอบครัวขึ้นมาร่วมกันจนมีลูกสาวตัวน้อย 1 คนที่ชื่อว่าเรเชล ครอบครัวของพวกเขานั้นเต็มไปด้วยความสุขและความสมบูรณ์แบบ

จนกระทั่งในวันหนึ่งเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นเมื่อผู้เป็นภรรยามีอาการป่วยเป็นโรคมะเร็ง สำหรับคนรักครอบครัวอย่างเรย์นั้นถือว่าเป็นเรื่องที่เจ็บปวดเป็นอย่างมากแต่เขาก็ยังคงพยายามทุกวิถีทางที่จะรักษาและยื้อชีวิตของภรรยาที่ตนรักเอาไว้ให้สำเร็จ พวกเขาต้องเผชิญกับความยากลำบากมากมายเนื่องจากครอบครัวของพวกเขานั้นไม่ได้มีเงินทอง แต่ค่ายาในการรักษามะเร็งนั้นแพงจนพวกเขาต้องยอมทำทุกอย่างเพื่อที่จะหาเงินมาจ่ายเพื่อชีวิตคนในครอบครัวเอาไว้ให้ได้

แต่น่าเสียดายที่ทุกสิ่งที่เขาทำลงไปนั้นไม่เป็นผลเพราะบริษัทยาแห่งหนึ่งได้ทำการถอดตัวยาที่สามารถช่วยชีวิตผู้ป่วยโรคมะเร็งออกจากการขาย และภรรยาของเขาก็เป็นหนึ่งในผู้ป่วยมะเร็งที่ใช้ยาตัวนี้ด้วย ถ้าไม่มียาดังกล่าวภรรยาที่เขารักก็ได้สิ้นลมหายใจลงไปต่อหน้าต่อตา ด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องการที่จะทวงคืนความยุติธรรมจากบริษัทยาที่อยู่ๆ ก็ทำการถอดตัวยาออกอย่างน่าสงสัย 

เขาไม่รู้เลยว่าความพยายามในการค้นหาความจริงในครั้งนี้จะทำให้เขาและลูกสาวอย่างเรเชลนั้นต้องเผชิญกับอันตรายถึงขั้นเอาชีวิต ภารกิจของเขาในครั้งนี้ต้องสำเร็จเท่านั้นทั้งการหาความจริงและการแก้แค้นให้กับภรรยา เรื่องราวของชายหนุ่มและลูกสาวจะเป็นอย่างไรต่อไปต้องติดตามรับชมกันต่อในภาพยนตร์ 

ความรู้สึกหลังรับชมภาพยนตร์เรื่อง Sweet Girl

Sweet Girl เป็นภาพยนตร์ต้นทุนสูงทำให้ภาพรวมของภาพยนตร์ออกมาดีในระดับมาตรฐาน แม้ว่าแก่นของภาพยนตร์นั้นจะเล่าถึงเรื่องราวการต่อสู้และล้างแค้นเพื่อหาความจริงเกี่ยวกับสาเหตุที่ทำให้ภรรยาของเขาไม่มียารักษาโรคมะเร็งจนต้องเสียชีวิตไป แต่สิ่งสำคัญที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่เคยทิ้งเลยตลอดการเล่าเรื่องก็คือดราม่าในครอบครัว ภาพยนตร์สามารถถ่ายทอดสถานการณ์ในครอบครัวที่มีผู้ป่วยมะเร็งซึ่งต้องใช้เงินเป็นจำนวนมากได้เป็นอย่างดี ไม่เพียงเท่านั้นยังมีความเกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงระหว่างบริษัทและรัฐบาลที่ส่งผลให้ผู้ได้รับผลกระทบซึ่งเป็นครอบครัวชาวบ้านธรรมดาทั่วไปต้องสูญเสียคนในครอบครัวไปในที่สุด 

เรียกได้ว่าในช่วงแรกของภาพยนตร์นั้นจะเต็มไปด้วยความเศร้าเคล้าน้ำตาอย่างแน่นอน มันอาจฟังดูน่าเบื่อสำหรับคนที่ต้องการจะรับชมภาพยนตร์ต่อสู้ แต่ความจริงแล้วการปูเรื่องให้เรารู้สึกตามไปด้วยแบบนี้ก็ถือว่าช่วยให้ฉากการต่อสู้ดูมีความหมายมากยิ่งขึ้นเลยทีเดียว พอเข้าสู่การต่อสู้แล้วภาพยนตร์ก็จะเต็มไปด้วยบรรยากาศที่ดุเดือดจนน่าขนลุก 

และถึงแม้ว่าเจสันจะได้รับบทนำในภาพยนตร์เรื่องนี้แต่ภาพยนตร์ก็ไม่ได้เทเล่าเรื่องราวไปที่เขามีแค่คนเดียวแต่อย่างใด แต่สามารถกระจายบทให้กับลูกสาวและคนอื่นๆ ได้เป็นอย่างดี มีฉากการต่อสู้โผล่มาให้เห็นอยู่เป็นประจำ สามารถนำเสนอเป็นเกี่ยวกับจิตวิทยาได้อย่างยอดเยี่ยม ส่วนข้อด้อยนั้นคือช่วงหลังของภาพยนตร์ที่บทค่อนข้างอ่อนไป มีหลายครั้งที่ฉากการต่อสู้ค่อนข้างหลุดคิว ตอนจบของเรื่องนั้นก็รวบรัดมากจนเกินไปจนทำให้ดูไม่สมเหตุสมผล 

แต่โดยรวมแล้วข้อด้อยในภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ไม่ได้ทำให้การรับชมภาพยนตร์โดยรวมเสียอรรถรสไปแต่อย่างใด มันยังคงมอบความสนุกสนานให้กับผู้รับชมได้ตามมาตรฐานภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ Original จาก Netflix หากคุณมีเวลาว่างและมี Netflix อยู่แล้วมันก็เป็นภาพยนตร์ที่เราอยากจะแนะนำให้คุณได้ลองรับชมดู รับรองเลยว่าคุณจะรู้สึกคุ้มค่าแก่เวลาที่รับชมไปอย่างแน่นอน

ตัวอย่างหนัง Sweet Girl

รีวิว หนัง Sweet Girl บางส่วนจาก beartai

เจสัน โมโมอา (Jason Momoa พระเอกหนุ่มร่างยักษ์ วัย 42 ปี ที่โด่งดังจากซีรีส์ ‘Game of Thrones’ 2 ซีซันแรก และรับบท Aquaman ใน ‘Batman v Superman: Dawn of Justice’ (2016), ‘Justice League’ (2017) และ ‘Aquaman’ (2018) จนกลายเป็นภาพลักษณ์ที่แฟนๆ ติดตามาตลอดหลายปี ได้กลับมาอีกครั้งใน ‘Sweet Girl’ ผลงานแอ็กชันดราม่าที่เขารับหน้าที่ทั้งอำนวยการสร้างและนำแสดงเอง ซึ่งเป็นหมุดหมายว่าเขาพยายามผลักดันตัวเองเพื่อเป็นผู้สร้างภาพยนตร์มากขึ้น

สำหรับ ‘Sweet Girl’ นั้น เป็นการกลับมาร่วมงานกันอีกครั้งของ เจสัน โมโมอา และผู้กำกับ ไบรอัน แอนดรูว์ เมนโดซา (Brian Andrew Mendoza) ที่เคยร่วมงานกับ เจสัน โมโมอา มาก่อนแล้วใน ซีรีส์ ‘Frontier’ (2018) และภาพยนตร์ ‘Braven’ (2018)

และอีกหนึ่งความน่าสนใจคือ ได้ อิซาเบลา เมอร์เซ็ด (Isabela Merced) สาวน้อยวัย 20 ปี ที่ฉายแววความน่ารักและฝีมือการแสดงที่ประทับใจมาแล้วจาก ‘Transformers: The Last Knight’ (2017), ‘Sicario: Day of the Soldado’ (2018), ‘Instant Family’ (2018) และ ‘Dora and the Lost City of Gold’ (2019)

‘Sweet Girl’ ว่าด้วยเรื่องราวของ เรย์ คูเปอร์ (รับบทโดย เจสัน โมโมอา) คุณพ่อที่พยายามทุ่มแรงกายหาเงินมารักษาภรรยาของเขาที่ล้มป่วยอยู่ในโรงพยาบาล พร้อมกับคอยดูแล เรเชล คูเปอร์ (รับบทโดย อิซาเบลา เมอร์เซ็ด) ลูกสาวของเขาอย่างใกล้ชิด

เมื่อภรรยาของเรย์ได้เสียชีวิตลง เขาก็เริ่มออกมาทวงหาความยุติธรรมจากบริษัทยายักษ์ใหญ่ ที่ดูเหมือนจะมีผลประโยชน์จากองค์กรอื่นแอบแฝงมาอีก

จากเนื้อเรื่องข้างต้น เป็นการปูพื้นให้ เจสัน โมโมอา ได้มีโอกาสแสดงศักยภาพในการเล่นบทดราม่าได้อย่างน่าชื่นชม แสดงออกถึงความสูญเสียได้อย่างน่าเห็นใจ กอปรกับสาวน้อย อิซาเบลา เมอร์เซ็ด ที่ถึงแม้ว่าจะยังคงความน่ารักสดใสอยู่เสมอ แต่แววตาของเธอสามารถสื่อถึงความเสียใจและความโกรธได้แทบจะตลอดทั้งเรื่อง

อีกสิ่งที่น่าชื่นชมเอามากๆ คือการถ่ายภาพในสไตล์ Handheld ที่มีความสั่นไหวตลอดเวลา ของ แบร์รี แอครอยด์ ‘Barry Ackroyd’ ที่เคยกำกับภาพให้ภาพยนตร์ของ พอล กรีนกราส (Paul Greenglass) อย่าง ‘United 93’ (2006) และ ‘Captain Phillips’ (2013) ก็ยังคงประสิทธิภาพ ไม่ทำให้เกิดความเวียนหัวแต่อย่างใด ผสานกับการตัดต่อท่ี่ทำได้ดี ส่งผลทำให้ได้ภาพฉากต่อสู้ และไล่ล่ามีความดิบและสมจริง ราวกับได้แรงบันดาลใจมาจากภาพยนตร์ในแฟรนไชส์ ‘Jason Bourne’

beartai

แนะนำการ หารายได้เสริม เพียงสมัครเล่น sagame66 หรือ sa game 66 คาสิโนออนไลน์ เว็บแทงบอล ฝากถอนไม่มีขั้นต่ำ
มีบริการ แทงบอล ufabet ที่ทุกท่านสามารถ แทงบอลออนไลน์ แบบ แทงบอลไม่มีขั้นต่ำ เริ่มต้น แทงบอลขั้นต่ำ 10 บาท
รวมถึงบริการ แทงบอลสเต็บ 2 คู่ บาคาร่าออนไลน์ ufa777 บาคาร่า66 gclub และอื่นๆอีกมากมาย เริ่มต้น ฝากเงินครั้งแรกขั้นต่ำ 50 บาท เท่านั้น

Leave a Comment

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *