รีวิวหนัง INTERCEPTOR

รีวิวหนัง INTERCEPTOR

ชื่อเรื่องINTERCEPTOR
เรตติ้ง5
นักแสดงElsa Pataky
จำนวนตอน1.39 ชั่วโมง

รีวิวหนัง INTERCEPTOR

รีวิวหนัง INTERCEPTOR ภาพยนตร์สไตล์ต่อสู้แบบบู๊ระห่ำของ NETFLIX ที่มีตัวละครหลักเป็นผู้หญิง เมื่อพูดถึงภาพยนตร์แนวต่อสู้ยิ่งเป็นการต่อสู้แบบบู๊ระห่ำที่เต็มไปด้วยความดุเดือดแล้วส่วนใหญ่มักเลือกใช้ตัวละครหลักเป็นผู้ชาย เนื่องจากข้อจำกัดในการเล่าเรื่องราวค่อนข้างน้อย แต่ในปัจจุบันก็มีหลายเรื่องเช่นเดียวกันที่เลือกใช้ตัวละครหลักเป็นผู้หญิง แม้ว่าพวกเธออาจจะไม่ได้ไร้ข้อจำกัดเทียบเท่ากับตัวละครชายแต่สิ่งที่จะได้มาเลยก็คือความดราม่านั่นเอง มันจึงเป็นเสน่ห์ที่น่าสนใจไม่น้อยสำหรับภาพยนตร์แนวต่อสู้ที่มีตัวละครหญิงเป็นตัวหลัก อย่างเช่นภาพยนตร์ที่เราจะพาทุกคนมาแนะนำกันในวันนี้นั่นก็คือ INTERCEPTOR

มันเป็นภาพยนตร์จากทาง NETFLIX ที่จะเล่าถึงการยับยั้งการใช้ขีปนาวุธทำลายล้างอเมริกา โดยทั้งประเทศต้องฝากความหวังเอาไว้กับทหารหญิงที่เคยถูกกองทัพทอดทิ้งเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น เป็นผลงานของผู้กำกับมือใหม่อย่าง MATTHEW REILLY ประกอบกับความที่มันเป็นภาพยนตร์ที่ฉายผ่านทาง NETFLIX ทำให้หลายคนอาจรู้สึกไม่ค่อยไว้วางใจว่าจะสามารถทำออกมาได้ดีหรือไม่ แต่เชื่อได้เลยว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะทำออกมาได้ดีไม่น้อยเลยทีเดียว ส่วนหนึ่งเกิดจากการที่นักเขียนบทไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นมือเขียนบทของภาพยนตร์ชื่อดังอย่างไพเรทส์ออฟเดอะแคริบเบียนมาก่อนอย่าง STUART BEATTIE 

มันเป็นภาพยนตร์แนวต่อสู้ที่จะทำให้เรารู้สึกระทึกใจตลอดการรับชม มีการใส่เงื่อนไขและข้อจำกัดในการเอาชีวิตรอดเข้ามามากมายไม่ว่าจะเป็นพื้นที่จำกัด ระยะเวลาที่กำหนดเอาไว้ การยิงขีปนาวุธต่อต้านนิวเคลียร์ สงครามเงียบระหว่างอเมริกาและรัสเซีย ยังไม่รวมไปถึงกลุ่มผู้ก่อการร้ายอีกต่างหาก ทุกอย่างล้วนแล้วแต่ทำให้ผู้รับชมนั้นรู้สึกนั่งเก้าอี้ไม่ติด แต่สำหรับใครที่ยังกังวลว่าจะรับชมภาพยนตร์เรื่องนี้ดีหรือไม่เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับมันให้มากขึ้นกัน 

หนัง netflix น่าดู

เรื่องราวในภาพยนตร์เรื่อง INTERCEPTOR

INTERCEPTOR เป็นภาพยนตร์ที่จะเล่าถึงเรื่องราวของหญิงสาวคนหนึ่งที่มีชื่อว่าคอลลีน เธอเป็นทหารหญิงที่ต้องแบกรับภาระเกี่ยวกับภัยก่อการร้ายที่คุกคามความมั่นคงของอเมริกา ประเทศมหาอำนาจขนาดใหญ่ที่ไม่ว่าใครก็อยากจะคลอดล้มพวกเขาลงจากบัลลังก์ มีอาวุธขีปนาวุธขนาดใหญ่ที่ต้องการจะยิง 16 เมืองหลักให้ราบเป็นหน้ากอง 

เธอได้เรียกให้กลับมาประจำการในฐานยิงสกัดขีปนาวุธที่ตั้งอยู่กลางมหาสมุทรแปซิฟิกก่อนเกิดเหตุการณ์ร้ายขึ้นเพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น แล้วมันก็ทำให้เธอได้พบเข้ากับอเล็กซานเดอร์ผู้เป็นอดีตทหารในสหรัฐที่เปลี่ยนฝั่งไปอยู่กับศัตรู เธอจำเป็นที่จะต้องแบกรับภาระในการปกป้องบ้านเมืองให้ได้ตามลำพัง แต่มันก็ไม่ง่ายเช่นนั้นเพราะเธอเองก็มีปมอดีตในจิตใจด้วยเช่นเดียวกัน เธอจะสามารถปกป้องประชากรอเมริการ่วม 300 ล้านคนที่ตกเป็นเป้าหมายในการเดิมพันของสงครามครั้งนี้ได้สำเร็จหรือไม่ เราต้องไปติดตามรับชมกันต่อในภาพยนตร์ 

ความรู้สึกหลังรับชมภาพยนตร์เรื่อง INTERCEPTOR

INTERCEPTOR เป็นภาพยนตร์แนวต่อสู้บู๊ระห่ำที่มีความยาวกำลังพอดี 90 นาทีแบบไม่รวมเครดิต ซึ่งถือว่าทำออกมาได้ดีเนื่องจากไม่ยืดเยื้อจนเกินไป สามารถทำออกมาได้กระชับฉับไว เป็นภาพยนตร์ที่เน้นการตะลุยเดี่ยวแบบมีตัวละครหลักเพียงแค่คนเดียวแบบสถานการณ์เอาไว้ ซึ่งตัวละครหลักที่เป็นผู้หญิงนั้นถือว่าสามารถทำออกมาได้ค่อนข้างดี มีความครบทั้งความฉลาดหลักแหลมและความสามารถในการต่อสู้ 

ภาพยนตร์มีการเล่าถึงเรื่องราวในอดีตเป็นฉากหลังไปพร้อมกับช่วงที่กำลังต่อสู้กับผู้ก่อการร้ายไม่ว่าจะเป็นการเผชิญหน้ากันหรือแม้แต่การชิงไหวชิงพริบกันเองก็ตาม ทำให้มันไม่น่าเบื่อและไม่ทำให้ผู้รับชมรู้สึกเสียเวลาอะไรมากมายเห็นได้ชัดเลยว่าเธอเป็นทหารหญิงที่ต้องเผชิญกับปัญหาที่ผู้หญิงส่วนใหญ่ต้องพบเจอนั่นก็คือถูกนายพลล่วงละเมิดทางเพศ แต่สิ่งที่ดีงามกว่านั้นก็คือภาพยนตร์ไม่ได้ใส่ลงมาเพียงแค่อยากจะให้มันเป็นปมดราม่าเพียงแค่อย่างเดียว แต่มันยังถูกนำเอามาใช้ในการต่อรองกับผู้ก่อการร้ายได้อีกด้วย ดังนั้นภาพยนตร์เรื่องนี้แม้ว่าจะเป็นการขายฉากต่อสู้แบบบู๊ระห่ำแต่ก็มีความเป็นเกมจิตวิทยาเข้ามาผสมผสานด้วยเช่นเดียวกัน

ด้วยงบประมาณที่ไม่สูงมากนักทำให้ภาพยนตร์ต้องเล่าอยู่ในพื้นที่ค่อนข้างจำกัดแต่กลับสร้างความกดดันออกมาได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว ไม่ต้องให้ผู้รับชมได้รอนาน เพราะ 10 นาทีแรกภาพยนตร์ก็เปิดฉากการต่อสู้ในทันที และความดีงามของฉากการต่อสู้ในภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือการใส่ศัตรูที่ดูเหมือนจะไม่สามารถต่อกรได้เข้ามาแต่ด้วยความฉลาดของตัวละครหลักทำให้เธอสามารถเอาชีวิตรอดและต่อสู้กับพวกเขาได้อย่างน่าเหลือเชื่อ

ถึงอย่างไรก็ตามในตอนแรกการเล่าแบบนั้นอาจจะทำให้เรารู้สึกสะใจแต่เมื่อรับชมไปสักพักเราจะรู้สึกว่าตัวละครหลักมีความเกินจริงไปมากไม่ว่าจะเป็นการคุมสติได้อย่างยอดเยี่ยมท่ามกลางสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยความกดดัน การให้เธอฉลาดมากจนเกินไปหรือมีความสามารถสูงจนเกินไปทำให้ตัวศัตรูดูไม่ฉลาดและมีเสน่ห์สักเท่าไหร่ 

โดยรวมแล้วถือว่าเป็นภาพยนตร์แนวต่อสู้ที่เหมาะสำหรับการรับชมสำหรับใครที่อยากจะหาภาพยนตร์รับชมแบบสบายๆ ไม่ต้องคิดอะไรมาก สามารถทำฉากการต่อสู้ได้ดี มีการใส่ประเด็นดราม่าเข้ามาได้อย่างกลมกล่อม หากมองข้ามเรื่องความไม่สมจริงของตัวละครหลักไปได้ก็ถือว่าเป็นภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยมไม่น้อยเลยทีเดียว

ตัวอย่างหนัง INTERCEPTOR

รีวิว หนัง INTERCEPTOR บางส่วนจาก beartai

นับว่าเป็นม้ามืดสำหรับนาทีนี้จริง ๆ สำหรับ Interceptor ที่มาแบบเงียบ ๆ ไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ไม่ต้องโปรโมตอะไรเลย และที่สำคัญหนังไม่มีจุดขายอะไรเลย ทั้งนักแสดงและผู้กำกับ แต่หนังก็ขึ้นอันดับ 1 ในตาราง Netflix เมืองไทยไปได้แบบฉลุย Interceptor มีชื่อไทยง่าย ๆ ว่า “สงครามขีปนาวุธ” เปิดเรื่องมาด้วยคำบรรยายว่า สหรัฐอเมริกามีฐานตรวจจับและป้องกันขีปนาวุธนิวเคลียร์อยู่ 2 แห่ง หน้าที่ของฐานนี้คือ คอยตรวจับขีปนาวุธที่มุ่งหน้ามายังสหรัฐฯ และจะยิงขีปนาวุธออกไปทำลายก่อนเข้าน่านฟ้าสหรัฐฯ ฐานแรกคือ ฟอร์ตกรีลีย์ อยู่ในรัฐอะลาสก้า และฐานที่ 2 คือ SBX-1 เป็นฐานที่อยู่กลางมหาสมุทรแปซิฟิก แต่แล้วฟอร์ตกรีลีย์ก็โดนกลุ่มบุรุษลึกลับติดอาวุธบุกจู่โจมสังหารเจ้าหน้าที่จนหมดสิ้น พร้อมทั้งออกแถลงการณ์ออนไลน์ว่า พวกเขาได้เข้าชิงขีปนาวุธนิวเคลียร์จากรัสเซียมาได้แล้ว 16 ลูก ตั้งจุดหมายปลายทางไว้ยัง 16 รัฐของอเมริกาไว้เรียบร้อยแล้ว เป้าหมายต่อไปของกลุ่มก่อการร้ายก็คือฐาน SBX-1 ที่นางเอกของเรื่องคือ กัปตัน เจ.เจ. คอลลินส์ (รับบทโดย เอลซ่า พาทากี้ (Elsa Pataky) ภรรยาตัวจริงเสียงจริงของ คริส เฮมส์เวิร์ธ) เพิ่งถูกส่งไปประจำการ

หนังเปิดเรื่องและเดินเรื่องอย่างรวดเร็วฉับไว หลังแนะนำตัวนางเอกหญิงแกร่งของเรื่องได้ไม่ทันไร กลุ่มคนร้ายก็เปิดตัวทันที กำลังจะเริ่มแผนการบุกเข้ายึดห้องควบคุม พอดีที่คอลลินส์แก้ไขสถานการณ์ได้ทัน รีบขังตัวเองและเจ้าหน้าที่อีก 2 นายไว้ในห้องควบคุม ทางกองทัพสหรัฐฯ ทราบเรื่องก็รีบส่งหน่วยซีลมาสมทบ แต่ต้องใช้เวลาเดินทางมายัง SBX-1 ถึง 90 นาที จึงเป็นภาระหน้าที่ของคอลลินส์ ที่ต้องยับยั้งการบุกรุกของกลุ่มผู้ก่อการร้ายไว้ไม่ให้บุกเข้ามาได้ก่อนที่หน่วยซีลจะมาถึง ซึ่งระหว่างนี้ อเล็กซานเดอร์ เคสเซิล หัวหน้าทีมก่อการร้ายก็พยายามหาทางบีบบังคับให้คอลลินส์ยอมเปิดประตู ทั้งจับตัวประกันขู่ฆ่า ทั้งเสนอเงินรางวัลก้อนโต ขณะเดียวกันก็ส่งลูกสมุนให้บุกเข้าห้องมาช่องทางนั้น ช่องทางนี้ ทำให้หนังได้สอดแทรกฉากต่อสู้เป็นระยะ ๆ

ไม่รู้ว่าฝ่ายก่อการร้ายมีอยู่กี่คนกัน เห็นโผล่มาให้นางเอกจัดการทีละคน ทีละคน ไปเรื่อย ๆ ก็เห็นได้ชัดว่าหนังเน้นขายฉากต่อสู้เป็นหลัก มีการออกแบบฉากต่อสู้ที่ผ่านกระบวนการคิด วางแผน ให้ใช้ทั้งอาวุธ มือเปล่า และข้าวของรอบตัว แต่ก็มองเห็นได้ชัดว่าเล่นกันตามคิว ซึ่งในวันนี้วิทยาการงานสตันท์ในวงการหนังฮ่องกงได้ถ่ายทอดไปถึงฮอลลีวูดแล้ว ฉากต่อสู้ในหนังช่วงหลัง ๆ จึงออกมาสมจริงหนักหน่วงกันอย่างมาก พอเรื่องไหนทำได้ไม่ถึง จึงเห็นได้ชัด อย่างใน Interceptor นี่ก็เช่นกัน ที่น่ารำคาญมากก็คือดนตรีประกอบซึ่งพยายามบิลท์เหลือเกิน ดังและล้ำหน้าความตื่นเต้นของภาพในฉากนั้น ๆ ไปมาก ดูแล้วไม่เข้ากัน คุณภาพอย่างกับละครหัวค่ำบ้านเรา ที่มักขโมยดนตรีประกอบต่างชาติมาใส่แบบเวอร์วัง

จะว่าไป Interceptor ก็มาในสูตรสำเร็จของหนังแอ็กชันฮอลลีวูดนะ กับการเขียนให้พระเอกจำเป็นไปอยู่ผิดที่ผิดเวลาในสถานที่ปิดล้อม แล้วก็เป็นสูตรที่มักจะประสบความสำเร็จเสียด้วย อย่างเช่นใน Die hard 1, Die Hard 2, Sudden Death, Under Siege 2: Dark Territory แต่ที่สำคัญหนังจะต้องมีบทที่ดี และผู้กำกับที่มีประสบการณ์ แต่กับ Interceptor ไม่มีทั้งสองอย่าง หนังน่าจะเป็นปรากฏการณ์ใหม่ของวงการภาพยนตร์เลยล่ะครับ ที่ผู้กำกับมาจากนักเขียนนิยาย แมทธิว ไรลีย์ (Matthew Reilly) เป็นนักเขียนนิยายแนวแอ็กชันชาวออสเตรเลีย ที่มีผลงานตีพิมพ์มาแล้วหลายสิบเล่ม เนื้อหาของเขามักจะมาแนวอย่างที่ว่านี่แหละ พระเอกของเรื่องมักจะไปอยู่ผิดที่ผิดเวลา ต้องกลายเป็นฮีโรจำเป็น

beartai

รีวิวหนัง/ซีรีส์

Leave a Comment

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *