ชื่อเรื่อง Don’t Look Up
เรตติ้ง 7.5
นักแสดง Leonardo DiCaprio,Jennifer Lawrence
จำนวนตอน 2.18 ชั่วโมง

รีวิวหนัง Don’t Look Up Netflix

รีวิวหนัง Don’t Look Up Netflix มีปัญหาก็อย่าไปมอง ภาพยนตร์ที่เสียดสีเรื่องการเมืองและสังคมได้อย่างเจ็บแสบ ในช่วงเวลานี้ทั่วทั้งโลกนั้นเต็มไปด้วยสถานการณ์การเมืองที่เต็มไปด้วยความคุกรุ่น เห็นได้ชัดว่าไม่ได้มีเพียงเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้นแต่มีในอีกหลายประเทศเลยทีเดียวที่มีการออกมาประท้วงหรือเรียกร้องบางสิ่งบางอย่างทางการเมืองมากยิ่งขึ้น นั่นก็เป็นเพราะว่าการเมืองนั้นอยู่ในทุกลมหายใจของเราทุกคน ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีความเกี่ยวข้องกับการเมืองและสังคม หากการเมืองดีคุณภาพของชีวิตทุกคนก็จะดีและมีสวัสดิภาพไปด้วย ในขณะเดียวกันหากการเมืองไม่ดีสิ่งที่เราจะต้องพบเจอนั้นอาจจะเป็นหายนะถึงชีวิตเลยเช่นเดียวกัน 

สาเหตุที่เราต้องหยิบยกประเด็นที่หนักหน่วงขึ้นมาพูดตั้งแต่ย่อหน้าแรกก็เป็นเพราะว่าภาพยนตร์ที่เราจะมาพูดถึงในวันนี้จะเป็นภาพยนตร์แนวตลกร้ายเสียดสีการเมืองและสังคมที่ทำออกมาได้อย่างเจ็บแสบจนทำให้เราต้องร้องซี๊ดตลอดการรับชมนั่นก็คือภาพยนตร์เรื่อง Don’t Look Up มันเป็นภาพยนตร์ที่กำกับโดย Adam Mckay ซึ่งเป็นผู้กำกับแนวเสียดสีสังคมที่เคยประสบความสำเร็จอย่างงดงามถึงขั้นมีชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์เลยทีเดียว โดยในครั้งนี้เขาหยิบประเด็นโลกร้อนและประเด็นเกี่ยวกับการเมืองมาบอกเล่าผ่านการเสียดสีที่เต็มไปด้วยความเผ็ดร้อน 

ที่น่าสนใจไปมากกว่านั้นก็คือภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ขนทัพนักแสดงระดับฮอลลีวูดมารวมกันหลายคนเลยทีเดียวโดยเฉพาะนักแสดงนำอย่างลีโอนาร์โด ดิแคพรีโอและเจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ นักแสดงนำระดับแม่เหล็กที่ช่วยให้ภาพยนตร์เรื่องนี้มีความสนใจมากยิ่งขึ้นไปอีก 

เรื่องราวในภาพยนตร์เรื่อง Don’t Look Up

Don’t Look Up เป็นภาพยนตร์ที่จะเล่าถึงเรื่องราวของหายนะที่ใกล้จะเกิดขึ้นกับโลกใบนี้ มีการค้นพบว่ามีดาวหางดวงหนึ่งกำลังจะพุ่งเข้ามาชนโลกในอีกไม่นาน โดยคนที่ค้นพบนั้นเป็นนักศึกษาปริญญาในสาขาดาราศาสตร์ที่มีชื่อว่าเคทและศาสตราจารย์ด้านดาราศาสตร์ในมหาวิทยาลัยมิชิแกนอย่างแมนดี้ ทั้งสองคนนั้นรู้ตัวว่ากำลังค้นพบเหตุการณ์ที่ใหญ่ที่อาจจะทำให้โลกใบนี้ดับสลายไปเลยก็ได้ทำให้พวกเขานั้นถูกเรียกตัวให้เข้าพบกับประธานาธิบดีร่วมกับด็อกเตอร์โอเกอร์ทอปเพื่อเปิดเผยความจริงให้กับสาธารณชนได้รับรู้ถึงเหตุการณ์เลวร้ายที่ใกล้จะเกิดขึ้น แต่กลับกลายเป็นว่าประธานาธิบดีไม่ได้สนใจเรื่องของพวกเขาแต่อย่างใดและยังมองว่ามันไม่ใช่เรื่องจริงจังอะไรอีกด้วย

ด้วยเหตุนี้นักศึกษาและศาสตราจารย์จึงต้องพยายามทำบางสิ่งบางอย่างแม้ว่ามันอาจจะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่พวกเขาไม่คาดคิดและอาจจะทำลายชีวิตรวมไปถึงหน้าที่การงานของพวกเขาลงก็ได้ แต่สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ไม่ได้รักความพยายามแต่อย่างใด พวกเขาได้เดินทางไปทั่วเพื่อเปิดเผยข้อมูลเหล่านี้ให้คนทั้งโลกได้รับรู้รวมไปถึงกับสื่อมวลชน แต่พวกเขากลับถูกมองข้ามและถูกปฏิเสธอย่างน่าเสียดาย เวลาของโลกใบนี้เริ่มนับถอยหลังลงทุกทีในขณะที่พวกเขากำลังถกเถียงกันอย่างหนักว่าโลกใบนี้ควรจะแตกไปเลยหรือเราจะต้องปกป้องมันกันแน่ เพราะในตอนนี้มีผู้คนมากมายที่ล้อเลียนถากถางและยังมีคนที่ต้องการจะแก้ไขเหตุการณ์ดังกล่าวปะปนกันไป การตอบสนองที่แปลกประหลาดของผู้คนบนโลกใบนี้ทำให้ทั้งสองคนรู้สึกสับสนไม่น้อยเลยทีเดียว สุดท้ายสถานการณ์ดังกล่าวจะลงเอยอย่างไรต้องติดตามรับชมกันต่อในภาพยนตร์

ความรู้สึกหลังรับชมภาพยนตร์เรื่อง Don’t Look Up

Don’t Look Up เป็นภาพยนตร์แนวตลกร้ายที่จะไม่ได้ทำให้เราหัวเราะออกมาอย่างสนุกสนานแต่มันจะทำให้เรารู้สึกหัวเราะในลำคอด้วยความรู้สึกขมขื่น ท่ามกลางการจิกกัดที่เจ็บแสบมันสามารถสะท้อนสังคมในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี ทุกวันนี้เราคิดว่าปัญหาโลกร้อนและภาวะเรือนกระจกนั้นเป็นเรื่องไกลตัวแต่ในความเป็นจริงแล้วมันได้สร้างหายนะใกล้ตัวเรามากกว่าที่คิด เพราะปัญหาทางมลภาวะ ปัญหาเกี่ยวกับอุณหภูมิ ปัญหาน้ำท่วม แผ่นดินไหว โคลนถล่ม ทุกอย่างล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นจากพฤติกรรมที่ผิดเพี้ยนของเราแต่เราก็ยังคงทำเป็นไม่สนใจและทำเหมือนกับว่ามันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพวกเรา 

ขอเตือนไว้ก่อนว่าในช่วงเริ่มต้นที่เป็นการปูประเด็นนั้นภาพยนตร์จะแห้งแล้งเป็นอย่างมาก เรื่องราวออกจะน่าเบื่อด้วยซ้ำไปแต่หลังจากที่เข้าที่เข้าทางแล้วภาพยนตร์เรื่องนี้จะตบหน้าเราอย่างจังจนทำให้เรานั้นต้องร้องซี๊ดตลอดการรับชมหลังจากนั้นเลยทีเดียว เพราะหลังจากนี้ภาพยนตร์จะจิกกัดทุกคนบนโลกใบนี้ไม่เว้นแม้กระทั่งเราทุกคนและกลุ่มคนที่โดนมากที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นรัฐบาลที่ไร้ประสิทธิภาพและไม่สนใจปัญหาของประชาชน สอนเพียงแค่ความนิยมและคะแนนเสียงเพื่อที่จะรักษาตำแหน่งของตัวเองเอาไว้เท่านั้น นอกจากนี้ยังส่งเสริมนายทุนและวัฒนธรรมบริโภคนิยมอีกต่างหาก 

แม้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะเต็มไปด้วยเรื่องราวที่น่าสนใจและจุดเด่นมากมายแต่ก็ต้องอย่าลืมว่าภาพยนตร์ทุกเรื่องนั้นมีจุดด้อยของตัวเอง อย่างที่เรากล่าวไปว่าในช่วงแรกนั้นการนำเสนอค่อนข้างแย่จนทำให้เรารู้สึกเบื่อได้ นอกจากนี้การตัดต่อยังทำออกมาได้ไม่ค่อยดีจนทำให้ภาพยนตร์ยืดเยื้อเกินกว่าความจำเป็น นักแสดงมีเป็นจำนวนมากเรียกได้ว่าเป็นการรวมดาวฮอลลีวูด แต่บางคนก็ไม่จำเป็นบางคนมาก็ใช้ไม่คุ้ม 

ตัวอย่างหนัง Don’t Look Up

รีวิว หนัง Don’t Look Up บางส่วนจาก beartai

สร้างจากเค้าโครงเรื่องจริงที่ (ยัง) ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เรื่องราวของนักดาราศาสตร์ระดับล่าง 2 คนที่ต้องออกเดินสายประชาสัมพันธ์ครั้งสำคัญเพื่อเตือนให้มวลมนุษยชาติรู้ว่าดาวเคราะห์น้อยดวงหนึ่งกำลังจะพุ่งเข้ามาชนโลกจนย่อยยับ

หลังจากเปรี้ยงปร้างกับหนังเสียดสีวงการการเงินจากเรื่องจริงอย่าง ‘The Big Short’ (2015) ที่เข้าไปสร้างความหวือหวาในเวทีออสการ์ปี 2016 ผู้กำกับ อดัม แมกเคย์ (Adam McKay) ก็ดูน่าสนใจมากขึ้นในฐานะผผู้สร้างชื่อจากหนังตลกเบาสมองอย่าง ‘Anchorman’ (2004) มาสู่หนังตลกร้ายหนักสมองที่เอาเรื่องเครียดมาทำให้บันเทิงได้ดี และแน่นอนว่าฝีมือการเขียนบทอันแสบสันของแมกเคย์คือกุญแจความสำเร็จนั้น และอาวุธหนักที่เขาเลือกใช้ในกลยุทธ์นี้ก็คือบารมีระดับดึงดาราแม่เหล็กหลายคนมาร่วมงานกับเขาได้แม้บทจะดูบ้าบออย่างไรก็ตาม

และถ้าเหตุผลเหล่านี้เป็นสิ่งที่คุณจะชอบหนังสักเรื่อง คุณจะรักหนังเรื่องนี้อย่างบ้าคลั่งเลยทีเดียว

‘Don’t Look Up’ เป็นหนังที่แมกเคย์จัดเจนในสิ่งที่ตัวเขามีและยกระดับการวิจารณ์สังคมไปอีกขั้น ด้วยเรื่องจริงที่เขาคิดว่าเป็นไปได้จะเกิดขึ้นถ้ามีดาวเคราะห์น้อยพุ่งมาชนโลกในวันหนึ่ง เหมือนเขาสร้างกล่องทดลองระบบปิดที่ใส่สังคมมนุษย์ลงไป ใส่ระบบนิเวศการเมืองและการบริหารแบบอเมริกัน เหยาะสารเร่งปฏิกิริยาให้ดูรุนแรงขึ้นนิดเพื่อเห็นผลชัดขึ้นไวขึ้นหน่อย แล้วมาดูว่าจะเป็นอย่างไร

หนังเล่าผ่านสายตาของ 2 นักดาราศาสตร์จากมหาวิทยาลัยชั้นรองที่บังเอิญพบว่ามีดาวหางขนาดเท่าภูเขาเอเวอเรสต์กำลังมุ่งตรงมาโลกในอีกหกเดือน และพบว่าแทนที่การค้นพบของพวกเขาจะได้รับการตระหนักถึงในแบบที่จริงจังในหนังฮอลลีวูดทั้งหลาย ปรากฏว่าพวกเขาต้องเจอทั้งเจ้าหน้าที่รัฐที่มีหน้าที่โดยตรงแต่หาประโยชน์เล็ก ๆ น้อย ๆ กับความไม่รู้ของประชาชน, ประธานาธิบดีหญิงที่เจอปัญหาข่าวฉาวเล่นงานและมองเห็นแต่ผลการเลือกตั้งรอบหน้า, สื่อมวลชนที่อยากเล่าแต่ข่าวที่คนสนใจอย่างดาราเลิกกันและไม่อยากพูดถึงเรื่องร้ายต่าง ๆ และทุนนิยมบ้าบอคอแตกที่ทำให้เรื่องราวมันเตลิดเปิดโปงไปใหญ่โต ขนาดที่หลายความพลิกผันในเรื่องอาจทำเราร้อง หา! หัวเราะทั้งน้ำตาออกมาเลยทีเดียว

ถ้าปีก่อน ๆ ญี่ปุ่นมีหนังอย่าง ‘Shin Godzilla’ (2016) ที่ อันโนะ ฮิเดอากิ (Anno Hideaki) เอาเรื่องสัตว์ประหลาดมาวิพากษ์การบริหารราชการแผ่นดินในสถานการณ์วิกฤตของญี่ปุ่น รอบนี้แมกเคย์ก็ทำในแบบเดียวกันแต่ด้วยแว่นแบบอเมริกันที่มีต่อวิกฤตระดับโลกอย่างอุกกาบาตล้างโลกแทน ใครเข้าใจจุดนี้จะดูหนังได้สนุกมาก ๆ และด้วยรสปรุงของแมกเคย์ที่มีความสากลกว่า ประกอบกับความเป็นอเมริกันมันน่าหมั่นไส้ในระดับโลกกว่า เป็นวัฒนธรรมที่คนทั้งโลกคุ้นเคยกว่า หนังมันเลยเข้าถึงคนได้ง่ายกว่าหนังของอันโนะด้วย

ในส่วนของอาวุธหนักรอบนี้ของแมกเคย์ก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปจาก ‘The Big Short’ ที่มี แบรด พริตต์ (Brad Pitt) หรือ คริสเตียน เบล (Christian Bale) เลย เพราะรอบนี้ได้ทั้งตัวพ่ออย่าง ลีโอนาร์โด ดิคาพริโอ (Leonardo DiCaprio) และตัวแม่อย่าง เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ (Jennifer Lawrence) มารับบทนำ ซึ่งเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเอาดาราฝีมือมารับบท 2 นักดาราศาสตร์ตัวแทนสายตาผู้ชม เพราะตัวละครนี้ต้องดูธรรมดาและอาจถึงขี้แพ้ อารมณ์อ่อนไหวในหลายช่วง ในขณะเดียวกันต้องมีเสน่ห์พอให้เราชอบพวกเขาแม้จะทำผิดพลาดมากอย่างไรก็ตาม

ไม่พอเท่านั้นหนังยังสมทบด้วยดาราคับคั่งที่พร้อมมาเล่นไม่ว่าตัวละครพวกเขาจะบ้าบอขนาดไหนก็ตาม ทั้ง เมอรีล สตรีป (Meryl Streep) ในบทประธานาธิบดีสุดน่าหมั่นไส้ เคต แบลนเชตต์ (Cate Blanchett) กับบทพิธีกรสาวข่าวฉาว ทิโมธี ชาลาเมต (Timothée Chalamet) ในบทเด็กหนุ่มเสเพลที่ผ่านมา รอน เพิร์ลแมน (Ron Perlman) ในบทวีรบุรุษทหารคลั่งอนุรักษ์นิยม มาร์ก ไรแลนซ์ (Mark Rylance) ในบทเจ้าพ่อธุรกิจมือถือที่รวยอันดับ 3 ของโลก โจนาห์ ฮิลล์ (Jonah Hill) ในบทลูกชายไม่เอาไหนของประธานาธิบดีที่ได้ตำแหน่งสำคัญเพราะแม่ และไฮไลต์อีกคนคือนักร้องสาวคนดัง อารีอานา กรานเด (Ariana Grande) ที่มารับบทนักร้องดังและโชว์พลังเสียงสะกดผู้ชมแบบน่าจดจำด้วย

beartai

Leave a Comment

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *