ชื่อเรื่อง | Top Gun Maverick |
เรตติ้ง | 8.5 |
นักแสดง | Tom Cruise,Jennifer Connelly |
จำนวนตอน | 2.10 ชั่วโมง |
รีวิวหนัง Top Gun Maverick
รีวิวหนัง Top Gun Maverick การกลับมาของ Tom Cruise และภาพยนตร์ภาคต่อที่ทิ้งเวลายาวนานนับ 30 ปี ในอดีตเมื่อหลายสิบปีที่แล้วมีภาพยนตร์มากมายหลากหลายเรื่องที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงามและมีการสร้างภาคต่อออกมาเรื่อยๆ แต่ส่วนใหญ่แล้วภาพยนตร์เรื่องไหนที่มีการยุติการสร้างภาคต่อไปเป็นเวลายาวนานเกิน 10 ปีแล้วก็มักจะไม่ค่อยมีการนำเอากลับมาสร้างภาคต่อใหม่แต่อย่างใดเนื่องจากการทิ้งเวลายาวนานเกินไปทำให้กลุ่มผู้รับชมมีความห่างทางอายุมากขึ้นกว่าเดิม ลองจินตนาการดูว่าพ่อของคุณเคยรับชมภาพยนตร์เรื่องหนึ่งสมัยวัยรุ่นและมันก็มีการนำเอากลับมาสร้างภาคต่อในตอนนี้ที่คุณโตแล้วมันคงจะยากที่จะทำให้คนรุ่นพ่อกลับมารับชมภาพยนตร์แนวนี้ในโรงภาพยนตร์อีกครั้งเนื่องจากวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป
แต่ภาพยนตร์ที่เราจะมาแนะนำในวันนี้ดังเป็นภาพยนตร์ภาคต่อในรอบ 3 ทศวรรษที่ได้ประสบความสำเร็จอย่างงดงามแถมทำออกมาได้ดีจนแทบจะไม่มีข้อติอะไรเลย นั่นก็คือภาพยนตร์เรื่อง Top Gun: Maverick มันเป็นภาพยนตร์ที่ทำให้นักแสดงมากฝีมือที่เวลาไม่อาจทำร้ายอะไรเขาได้เหมือนกับติ๊ก เจษฎาภรณ์ อย่าง ทอมครูซ ได้กลับมาวาดลวดลายบนจอภาพยนตร์อีกครั้ง
นับเป็นการพิสูจน์ว่าภาพยนตร์ซีรีส์ท็อปกันนั้นเป็นภาพยนตร์ที่มีจุดแข็งอย่างแท้จริงและไม่ว่าเวลาจะผ่านไปอย่างยาวนานกี่ 10 ปีก็ตามพวกเขายังคงสามารถทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม สามารถดึงกลุ่มผู้ชมในยุคสมัยเก่าให้กลับมาชมภาพยนตร์ภาคต่อได้อีกครั้งแถมยังดึงแฟนภาพยนตร์รุ่นใหม่มารับชมภาพยนตร์ของตัวเองได้อย่างยอดเยี่ยมอีกด้วย และวันนี้เราจะพาทุกคนไปดูกันว่าภาพยนตร์เรื่องนี้มีความน่าสนใจอย่างไรบ้าง
หนังทอมครูซขับเครื่องบิน
เรื่องราวในภาพยนตร์เรื่อง Top Gun: Maverick
Top Gun: Maverick เป็นภาพยนตร์ที่จะเล่าถึงเรื่องราวในช่วง 30 ปีให้หลังหลังจากที่มาเวอริค ราชการนักบินระดับพระการในกองทัพเรือได้ห่างหายจากการขับเครื่องบินรบไปอย่างยาวนาน เขาได้กลับมายังสถานที่ที่เหมาะสมกับตนเองอีก 1 ครั้งในฐานะของนักบินทดสอบผู้กล้าหาญ ในครั้งนี้เขาได้ละทิ้งความก้าวหน้าทางหน้าที่การงานกลับมาอยู่ในหน่วยฝึก top gun สำหรับการปฏิบัติการพิเศษอีกครั้งในรูปแบบที่ไม่เคยมีนักบินคนไหนที่ยังมีชีวิตอยู่เคยประสบพบเจอมาก่อน
เขาต้องเผชิญหน้ากับรูสเตอร์ เป็นลูกชายของเรือโทกูส เพื่อนของเขาที่เสียชีวิตไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เขาต้องเผชิญหน้ากับอนาคตที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนรวมไปถึงอดีตและความผิดพลาดที่หลอกหลอนมาจนถึงทุกวันนี้ มันทำให้เขาต้องเผชิญหน้ากับความกลัวที่อยู่ในเบื้องลึกของจิตใจและพยายามทำภารกิจให้สำเร็จ ซึ่งภารกิจในครั้งนี้นักบินที่ได้รับเลือกให้ร่วมบินนั้นจะต้องเสียสละอย่างถึงที่สุด
ความรู้สึกหลังรับชมภาพยนตร์เรื่อง Top Gun: Maverick
Top Gun: Maverick เป็นการกลับมาสานต่อภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงามเมื่อ 30 ปีที่แล้วได้อย่างน่าประทับใจ อย่างที่เราบอกไปว่านอกจากมันจะทำให้ผู้รับชมรุ่นเก๋าตบเท้าเข้ามารับชมในโรงภาพยนตร์ได้แล้วยังสามารถดึงกลุ่มผู้รับชมรุ่นใหม่ให้สนใจภาพยนตร์ซีรีส์เรื่องนี้มากยิ่งขึ้นกว่าเดิมได้อีกด้วย มันเป็นภาพยนตร์ที่เต็มไปด้วยลูกเล่นและเทคนิคการถ่ายทำมากมายที่น่าตื่นตาตื่นใจ แต่ละฉากในการนำเสนอเครื่องบินรบนั้นเต็มไปด้วยรายละเอียดมากมายที่น่าจดจำแถมยังยิ่งใหญ่อลังการจนทำให้คุณรู้สึกประทับใจได้ไม่ยาก
มันเป็นภาพยนตร์ที่เราสามารถสัมผัสได้ถึงความใส่ใจของผู้กำกับในทุกกระเบียดนิ้ว มีความละเอียดแม้แต่ในสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่ถ่ายทอดให้เราเห็นในแต่ละฉาก การถ่ายทำฉากเครื่องบินผาดโผนนั้นสามารถทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมซึ่งต้องยกความดีความชอบให้กับฝ่ายเทคนิคและฝ่ายออกแบบที่บรรยากาศทุกอย่างสามารถส่งให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้ผู้รับชมรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ในเครื่องบินเหล่านั้นไปด้วย
ในขณะเดียวกันเองในส่วนของปลอมในอดีตรวมไปถึงดราม่ามากมายก็สามารถหยิบมาเล่นได้อย่างลึกซึ้ง เป็นภาพยนตร์แนวต่อสู้ที่มีซีนอารมณ์ออกมาอยู่ในระดับที่กำลังดี ไม่ยัดเยียดจนเกินไป แถมทำออกมาได้เข้ากับบรรยากาศอย่างสมบูรณ์อีกด้วย เป็นภาพยนตร์ที่คุณจะไม่สามารถละสายตาออกจากหน้าจอได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว ทำที่คุณสามารถนั่งอยู่ติดกับเก้าอี้ได้ตลอดระยะเวลาของภาพยนตร์เนื่องจากคุณจะอยากรู้ว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
สำหรับใครที่กังวลว่ามันเป็นภาพยนตร์ภาคต่อมารับชมแล้วจะเข้าใจหรือไม่ ขอบอกเลยว่าถึงแม้คุณจะไม่เคยรู้จักภาพยนตร์ซีรีส์นี้มาก่อนเลยแม้แต่น้อยแต่คุณก็ยังสามารถรับชมภาพยนตร์เรื่องนี้ได้อย่างเข้าใจลึกซึ้งๆเกี่ยวกับทุเรียนราวและทุกเหตุการณ์ การเล่าเรื่องราวยังคงไหลลื่นดี แต่หากคุณเป็นคนที่เคยรับชมภาพยนตร์ภาคเก่าๆ มาก่อนรับรองว่าคุณจะรู้สึกไปกลับเรื่องราวได้มากขึ้นกว่าเดิมอย่างแน่นอนเช่นเดียวกัน
แต่สิ่งที่น่าเสียดายสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือบทภาพยนตร์ที่ออกมาไม่สมบูรณ์แบบสักเท่าไหร่ เรื่องราวค่อนข้างเป็นไปตามสูตรสำเร็จของภาพยนตร์แนวบล็อกบัสเตอร์ที่ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่หรือคาดเดาได้ยาก แต่ด้วยจังหวะการเล่าเรื่องราวที่ทำออกมาได้ดี มีการผสมผสานระหว่างการต่อสู้และดราม่าได้อย่างลงตัว มันจึงเป็นการเชื่อมเข้าหากันของเรื่องราวที่ทำให้คุณยังรู้สึกอยากจะติดตามต่อไป