ชื่อเรื่อง | THE NORTHMAN |
เรตติ้ง | 7 |
นักแสดง | Alexander Skarsgård,Nicole Kidman |
จำนวนตอน | 2.17 ชั่วโมง |
รีวิวหนัง THE NORTHMAN
รีวิวหนัง THE NORTHMAN ภาพยนตร์แนวล้างแค้นของนักรบไวกิ้ง ภาพยนตร์แนวต่อสู้ล้างแค้นนั้นมีให้เราได้รับชมมากมายและมันก็มักจะประสบความสำเร็จเสียด้วย เนื่องจากภาพยนตร์แนวนี้สามารถสร้างอารมณ์ร่วมให้กับผู้รับชมได้เป็นอย่างดี เริ่มต้นเราจะพบกับชีวิตที่เต็มไปด้วยความรันทดหรือการหักหลังกันก่อนที่คนเหล่านั้นจะฮึดสู้กลับมาแก้แค้นเพื่อทวงคืนความยุติธรรมอีกครั้ง แต่ที่ผ่านมาส่วนใหญ่แล้วภาพยนตร์แนวนี้ก็จะเล่าถึงเรื่องราวของผู้คนในยุคปัจจุบัน แต่จะเป็นอย่างไรหากคนที่กลายเป็นเหยื่อในครั้งนี้เป็นถึงนักรบไวกิ้งที่ทั้งดุดันและแข็งแกร่ง
หากคุณอยากรู้คำตอบเราขอแนะนำภาพยนตร์เรื่อง THE NORTHMAN ภาพยนตร์แนวล้างแค้นที่มีนักรบไวกิ้งเป็นตัวละครหลัก ดังนั้นแน่นอนว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะเต็มไปด้วยการต่อสู้ที่ดุเดือดและฉากการแก้แค้นที่เต็มไปด้วยความสะใจอย่างแน่นอน เป็นภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่ที่เนื้อหาเข้มข้นจนแทบจะทำให้ผู้รับชมอย่างเราสำลักกันเลยทีเดียว ใครที่ชื่นชอบภาพยนตร์แนวเข้มข้นรสชาติจัดจ้านเราขอแนะนำว่าไม่ควรพลาดโดยเด็ดขาด
ยิ่งไปกว่านั้นซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ผู้กำกับมากฝีมืออย่างโรเบิร์ต เอ็กเกอรส์ที่ผลงานส่วนใหญ่ของเขานั้นมักออกมาสุดโต่งอยู่ตลอดไม่ว่าจะเป็นการเล่าเรื่องหรือแม้แต่องค์ประกอบศิลป์ที่สุดทุกด้าน หากเคยรับชมภาพยนตร์ของเขามาก่อนเพียงแค่ได้ยินชื่อผู้กำกับคุณก็พร้อมที่จะเข้าไปรับชมภาพยนตร์ของเขาอีกครั้งแบบไม่มีข้อกังขาอย่างแน่นอน
หนัง HBO GO
เรื่องราวในภาพยนตร์เรื่อง THE NORTHMAN
THE NORTHMAN เป็นภาพยนตร์ที่จะย้อนกลับไปสู่ยุคไวกิ้งในแถบสแกนดิเนเวีย ในช่วงเวลานั้นมีเจ้าชายคนหนึ่งชื่อว่าแอมเล็ธ แม้ว่าจะเป็นถึงเจ้าชายแต่เขาก็ต้องเผชิญกับโชคชะตาที่พลิกผันโดยกระทันหัน หลังจากที่อาแท้ๆ ของเขาได้ลุกขึ้นมาก่อการกบฏด้วยการลอบปลงพระชนม์พระบิดาของเขาต่อหน้าต่อตาของเขาเอง ไม่เพียงเท่านั้นยังขึ้นแย่งชิงบังลังไปเป็นของตัวเองเสียอย่างนั้น
เจ้าชายผู้เป็นทายาทสายตรงจึงต้องหลบหนีจากแผ่นดินเกิดของตัวเองเพราะหากเขายังอยู่ต่อคนต่อไปที่จะถูกปลงพระชนม์ก็คงจะเป็นเขาอย่างแน่นอน เขาจำใจต้องทิ้งแม่เอาไว้ในเมืองและตั้งใจว่าจะกลับมาแก้แค้นให้พ่อและช่วยเหลือแม่ให้สำเร็จ เขาจะต้องทวงคืนบัลลังก์ที่ควรจะเป็นของเขากลับคืนมาให้ได้
เขาใช้เวลาอยู่นานหลายปีในการฝึกฝนการต่อสู้และมันก็ทำให้เขานั้นได้เข้าไปอยู่กับกลุ่มนักสู้คนเถื่อนที่เต็มไปด้วยความดุเดือดเหมือนกับสัตว์ร้าย แต่ละวันของเขานั้นดำเนินไปเพื่อจุดประสงค์เพียงไม่กี่อย่างนั้นก็คือการเอาชีวิตรอดและการกลับไปแก้แค้นให้สำเร็จ เพียงแต่ว่าในตอนนี้เขายังไม่รู้ว่าตัวเองจะแก้แค้นอย่างไร จนกระทั่งได้พบกับหญิงสาวชาวบ้านคนหนึ่งที่เข้ามาจุดประกายให้เขานั้นเดินตามลิขิตชีวิตของตนเองอีกครั้ง
เขาออกจากกลุ่มนักสู้ไปอยู่กับกลุ่มทาสขายแรงงาน และกลุ่มดังกล่าวก็เพราะให้เขากลับคืนสู่แผ่นดินใหญ่ บ้านเกิดที่เขาละทิ้งไปนานหลายปีอีกครั้ง การกลับมาในครั้งนี้เขาพร้อมอย่างเต็มที่ที่จะเผชิญหน้ากับศัตรูที่ทำให้เขาต้องรู้สึกเจ็บแค้นจากการที่ลอบสังหารพ่อต่อหน้าเขาและทวงคืนทุกอย่างที่ควรจะเป็นของตนเองกลับคืนมาให้สำเร็จ
ความรู้สึกหลังรับชมภาพยนตร์เรื่อง THE NORTHMAN
THE NORTHMAN เป็นภาพยนตร์ที่เต็มไปด้วยเทคนิคสมกับเป็นผลงานของผู้กำกับหน้าใหม่มากฝีมือ ทุกอย่างที่นำเสนอออกมานั้นล้วนแล้วแต่มีนัยยะแอบแฝงทั้งสิ้นโดยเฉพาะการเล่นกับแสงและเงา และด้วยเทคนิคการนำเสนองานธาตุที่ยอดเยี่ยมทำให้ฉากการต่อสู้ของชาวไวกิ้งที่ดุเดือดอยู่แล้วยิ่งดุเดือดและน่าตื่นเต้นมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมไปอีก
ไม่เพียงเท่านั้นภาพยนตร์เรื่องนี้ผู้กำกับยังลงมาเขียนบทด้วยตัวเองอีกด้วย แต่อย่างไรก็ตามต้องยอมรับว่าบทของภาพยนตร์ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นมากมายเนื่องจากโครงเรื่องค่อนข้างกว้าง แถมยังเป็นมุกที่ไม่ได้แตกต่างจากภาพยนตร์แนวแก้แค้นสักเท่าไหร่ แต่โชคดีที่จังหวะการเล่าเรื่องมีความน่าติดตามประกอบกับบรรยากาศภายในภาพยนตร์ที่ชวนลุ้นอยู่ตลอดเวลา ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังคงสามารถดำเนินต่อไปได้อย่างสนุกสนาน
ในส่วนของการแสดงเองก็นับว่าเป็นสิ่งที่ช่วยชูโรงภาพยนตร์เรื่องนี้ให้มีความสนุกสนานมากขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะเจ้าของบทเจ้าชายอาพับอย่างอเล็กซานเดอร์ สการ์สการ์ดที่สามารถสวมบทบาทออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม เราจะสัมผัสได้ถึงความทุ่มเทของเขาในการซึมไปเป็นตัวละครอย่างแท้จริง ทำให้เขาสามารถแบกรับภาพยนตร์ที่มีความยาวมากกว่า 2 ชั่วโมงได้แบบไม่หนักหนาอะไร ในขณะที่นักแสดงสาวอย่างนิโคล คิดแมนก็ได้โอกาสระเบิดพลังการแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้เช่นเดียวกันแม้ว่าบทบาทของเธอจะไม่ได้สลักสำคัญอะไรมากมายขนาดนั้นก็ตาม
แม้ว่ามันจะเป็นภาพยนตร์แนวต่อสู้ไวกิ้งที่เต็มไปด้วยความดุเดือดและเนื้อเรื่องที่เข้มข้น แต่ก็มีบางช่วงที่ภาพยนตร์เล่าแบบซึ่งช้าเช่นเดียวกัน ทำให้เวลารับชมเราเลยรู้สึกถึงความเนิบนาบไปสักหน่อย อย่างไรก็ตามมันไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ด่างพร้อยแต่อย่างใด เพราะองค์ประกอบอื่นช่วยแบ่งเบาความผิดพลาดในการยืดเรื่องออกไปเกินความจำเป็นได้เป็นอย่างดี