ชื่อเรื่องTHE DESPERATE HOUR
เรตติ้ง5
นักแสดงNaomi Watts,Colton Gobbo
จำนวนตอน1.24 ชั่วโมง

รีวิวหนัง THE DESPERATE HOUR

รีวิวหนัง THE DESPERATE HOUR ภาพยนตร์ตามหาลูกที่สร้างความลุ้นระทึกให้กับคุณได้แบบนาทีต่อนาที ระยะเวลาของภาพยนตร์กับระยะเวลาที่เรานั่งอยู่ในโรงภาพยนตร์บางครั้งก็มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ภาพยนตร์บางเรื่องสามารถเล่าถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นระยะเวลานับสิบปีในระยะเวลาที่ผู้รับชมนั่งชมในโรงภาพยนตร์เพียงแค่ 2 ชั่วโมงกว่าเท่านั้น ดังนั้นภาพยนตร์เหล่านี้แม้ว่าจะเป็นเรื่องราวที่ลุ้นระทึกมากแค่ไหนก็ตามแต่มันก็ไม่ได้สามารถสร้างความลุ้นระลึกให้กับคุณได้ตลอดการรับชมในทุกนาที 

แต่ไม่ใช่กับภาพยนตร์ที่เราจะมาแนะนำกันในวันนี้อย่าง THE DESPERATE HOUR ภาพยนตร์ความยาว 84 นาทีที่ความยาวในภาพยนตร์และความยาวที่เรารับชมเป็นระยะเวลาเดียวกัน ดังนั้นเท่ากับว่าทุกนาทีที่เรารับชมภาพยนตร์เรื่องนี้เราจะได้ลุ้นระทึกไปกับตัวละครแบบนาทีต่อนาทีเลยทีเดียว ด้วยเหตุนี้มันจึงกลายเป็นภาพยนตร์ที่มีความน่าสนใจเป็นอย่างมากเพราะการนำเอาเรื่องราวระทึกขวัญมาบอกเล่าในระยะเวลาที่มีจำกัดแถมยังสามารถทำออกมาได้เป็นอย่างดีอีกด้วย แม้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะต้องเผชิญกับอุปสรรคมากมายในขั้นตอนการถ่ายทำจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 แต่สุดท้ายแล้วภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ยังเป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมผู้ควรแก่การรับชมไม่แพ้กับภาพยนตร์เรื่องไหน 

เป็นภาพยนตร์ที่นอกจากจะสร้างความลุ้นระทึกและเอาใจช่วยตัวละครในภาพยนตร์แล้ว มันยังสามารถสร้างอารมณ์ร่วมให้กับผู้รับชมได้เป็นอย่างดีเพราะตลอดระยะเวลาที่ตัวละครวิ่ง มันเหมือนกับหัวใจของเราวิ่งตามเธอไปด้วย ด้วยเหตุนี้มันจึงสามารถทำให้ผู้รับชมรู้สึกกดดันไปพร้อมกับตัวละครได้เป็นอย่างดี ถามข้อจำกัดที่มีมากมายในภาพยนตร์ยิ่งทำให้เรารู้สึกถูกบีบหัวใจมากยิ่งขึ้นไปอีกด้วย สำหรับใครที่ชื่นชอบภาพยนตร์แนวระทึกขวัญก็สามารถเข้ารับชมภาพยนตร์เรื่องนี้ในโรงภาพยนตร์ได้แล้ว 

รีวิวหนัง 2022

เรื่องราวในภาพยนตร์เรื่อง THE DESPERATE HOUR

THE DESPERATE HOUR เป็นภาพยนตร์ที่จะเล่าถึงเรื่องราวของเจ้าหน้าที่สรรพากรสาวคนหนึ่งที่มีชื่อว่าเอมี เธอเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวลูก 2 ที่ต้องสูญเสียทั้งพ่อของลูกและสามีของเธอไปด้วยอุบัติเหตุบนท้องถนนเป็นระยะเวลาเกือบครบ 1 ปีมาแล้ว แต่ถึงอย่างไรก็ตามเธอก็ยังคงทำหน้าที่เป็นแม่ให้กับลูกอย่างถึงที่สุดเพื่อไม่ให้ลูกของเธอรู้สึกขาดอะไรไป นอกจากนี้เธอยังมีกิจกรรมที่ชอบทำอีกด้วยนั่นก็คือการวิ่งจ๊อกกิ้งออกกำลังกายโดยเธอมักจะเข้าไปวิ่งในป่าลึกเพื่อผ่อนคลายและสงบจิตใจอยู่เสมอ 

แต่แล้วในวันหนึ่งที่เธอนั้นกำลังวิ่งจ๊อกกิ้งเข้าไปในป่าลึกเพื่อออกกำลังกายตามปกติที่เคยทำพร้อมกับโทรศัพท์มือถือเพียงแค่เครื่องเดียว เธอก็ได้รับข่าวร้ายที่เธอไม่คาดฝันมาก่อนเมื่อโรงเรียนที่ทั้งลูกชายคนโตของเธออย่างโนอาและลูกสาวคนเล็กอย่างเอมิลี่กำลังเกิดเหตุการณ์กราดยิงขึ้นทำให้ลูกทั้งสองคนของเธอกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ปลอดภัย แต่ในป่าที่เธออยู่นั้นห่างไกลจากโรงเรียนเกิดเหตุหลายไมล์เลยทีเดียว แถมสิ่งที่เธอมีติดตัวอยู่ตอนนี้ก็มีเพียงแค่โทรศัพท์เครื่องเดียวเท่านั้นที่ดูเหมือนจะไม่สามารถช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นได้เลยแม้แต่น้อย 

ถึงอย่างนั้นด้วยความเป็นแม่เธอก็ยังคงพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะช่วยลูกให้สำเร็จ ด้วยเหตุนี้เธอจึงตัดสินใจเดินทางออกจากป่าลึกไปยังโรงเรียนของลูกด้วยวิธีการที่เธอมานั่นก็คือการวิ่งนั่นเอง ในขณะเดียวกันเองเธอก็พยายามใช้โทรศัพท์มือถือที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์หวังว่ามันจะสามารถช่วยคลี่คลายเหตุการณ์ที่เต็มไปด้วยความอันตรายนี้ได้สำเร็จ 

ความรู้สึกหลังรับชมภาพยนตร์เรื่อง THE DESPERATE HOUR

THE DESPERATE HOUR เป็นภาพยนตร์ที่แทบจะไม่มีอะไรเลยนอกจากการวิ่งและการใช้โทรศัพท์แต่มันกลับสามารถสร้างความลุ้นระทึกให้กับผู้รับชมอย่างเราได้เป็นอย่างดี ตลอดระยะเวลา 84 นาทีที่เธอพยายามวิ่งไปช่วยลูก มันเท่ากับ 84 นาทีที่เราอยู่ในโรงภาพยนตร์และพยายามเอาใจช่วยเธอแบบวินาทีต่อวินาที การเล่นกับความรู้สึกของผู้รับชมด้วยการนำเสนอภาพยนตร์แนวเอาตัวรอดแบบเรียลไทม์มันทำให้ผู้รับชมรู้สึกไปกับตัวละครได้มากยิ่งขึ้นไปอีก ตลอดระยะเวลาที่เธอวิ่งแม้ว่ามันจะเร็วมากแค่ไหนก็ตามแต่เราก็มักจะรู้สึกเหมือนกับเธอว่ามันยังเร็วไม่พออยู่ดี 

นอกเหนือจากการวิ่งไปช่วยลูกแล้วอีก 1 ตัวละครที่สำคัญของภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือโทรศัพท์มือถือนั่นเอง เพราะมันเป็นเพียงแค่สิ่งเดียวที่เธอจะสามารถใช้ในการช่วยเหลือลูกให้พ้นจากอันตรายได้สำเร็จ เธอจะได้รับรู้เหตุการณ์และข้อมูลต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโรงเรียนผ่านโทรศัพท์มือถือของเธอ รวมไปถึงเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยให้เธอสามารถสื่อสารกับคนอื่นได้อีกด้วย ภาพยนตร์นำเสนอเทคนิคการเอาตัวรอดด้วยโทรศัพท์ออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม และมันเป็นสื่อกลางที่ทำให้เราได้รับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่โรงเรียนบ้างในขณะที่ฉากทั้งหลายส่วนใหญ่มักจะอยู่ในป่าแทบทั้งสิ้น 

ข้อจำกัดเหล่านี้กลายมาเป็นจุดเด่นที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้สามารถสร้างความตื่นเต้นให้กับผู้รับชมได้เป็นอย่างดี และอีกหนึ่งสิ่งที่ต้องชมไม่แพ้กันเลยก็คือบทของภาพยนตร์ที่สามารถยกระดับความกดดันได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่มีจังหวะไหนเลยที่ทำให้ผู้รับชมอย่างเรารู้สึกว่าการวิ่งของตัวละครช่างน่าเบื่อเหลือเกิน แต่ก็ไม่ได้เต็มไปด้วยความกดดันทั้งเรื่อง ยังมีจังหวะแบบผ่อนหนักผ่อนเบาให้เราอยู่ในอารมณ์ที่ค่อนข้างลื่นไหลไปกับเรื่องราว ตุ๊กตานำโชคฟาฟ่า

แต่ข้อสังเกตของภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือในช่วงแรกเป็นการเล่าเรื่องราวแนวระทึกขวัญ แต่พอเรื่องราวดำเนินไปถึงช่วงครึ่งหลังมันกลับกลายเป็นภาพยนตร์แนวสืบสวนสอบสวนมากกว่า การนำเอาประเด็นเรื่องการกราดยิงในโรงเรียนมาเล่ายังไม่สามารถเล่าออกมาได้ครบทุกมิติเท่าที่ควร การเปิดเรื่องมาโดยที่ไม่ได้ปูให้เรารู้จักกับตัวละครมากพอทำให้ในช่วงแรกค่อนข้างยากที่ผู้รับชมอย่างเราจะรู้สึกเอาใจช่วยเธอ ประกอบกับฉากที่จำกัดทำให้การตัดต่อค่อนข้างซ้ำซากจำเจไม่น้อย 

ตัวอย่างหนัง THE DESPERATE HOUR

รีวิว หนัง THE DESPERATE HOUR บางส่วนจาก beartai

ถ้าใครชอบหนังที่เล่าเรื่องระทึกขวัญผ่านหน้าจอ อย่างเช่น ‘Unfriended’ (2014) และ ‘Host’ (2020) และหนังเอาตัวรอดแบบเรียลไทม์อย่าง ‘Buried’ (2010) มาในปีนี้ ผู้กำกับอย่าง ‘ฟิลลิป นอยซ์’ (Phillip Noyce) ผู้กำกับหนังสายลับ ‘Salt’ (2010) ที่มาพร้อมกับผลงานภาพยนตร์สุดระทึกที่ถ่ายทำด้วยโปรดักชันที่เอื้อต่อการถ่ายทำในช่วงโรคระบาด โดยที่หนังเรื่องนี้ที่เคยมีชื่อเดิมว่า ‘Lakewood’ ยังได้มีโอกาสได้รับคัดเลือกให้ฉายรอบปฐมทัศน์ในเทศกาลหนังโตรอนโต (Toronto International Film Festival – TIFF) เมื่อปีที่แล้ว ก่อนจะเปลี่ยนชื่อ (ให้ขายได้) เป็น ‘The Desperate Hour’ หรือ ‘ฝ่าวิกฤต วิ่งหนีตาย’ นั่นแหละครับ

ตัวหนังว่าด้วยเรื่องของเรื่องราวของพนักงานเจ้าหน้าที่สรรพากร ‘เอมี คาร์’ (Naomi Watts) และคุณแม่ลูกสอง ที่สูญเสียสามีและพ่อของลูกด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์เกือบจะครบหนึ่งปี วันหนึ่งเอมีได้เข้าไปวิ่งจ็อกกิงออกกำลังกายในป่าลึก แต่แล้วเธอก็ได้รับแจ้งข่าวร้ายว่า เกิดเหตุกราดยิงในโรงเรียนที่ ‘โนอาร์’ (Colton Gobbo) ลูกชายคนโต และ ‘เอมิลี’ (Sierra Maltby) เรียนอยู่ เอมีจึงต้องออกวิ่งไปยังโรงเรียนที่เกิดเหตุ ซึ่งอยู่ห่างออกไปไกลจากป่าหลายไมล์ เพื่อหวังจะช่วยเหลือลูก ๆ ของเธอให้พ้นจากเงื้อมมือของมือปืนที่อาจก่อเหตุได้ทุกเมื่อ โดยมีโทรศัพท์เป็นอุปกรณ์เพียงอย่างเดียวที่จะช่วยให้เธอคลี่คลายเหตุสุดระทึกนี้ไปได้

ซึ่งตัวหนังตลอดเกือบ ๆ 84 นาที เราก็จะได้เห็นขุ่นแม่ ‘เอมี คาร์’ อยู่ในป่าลึกโดยที่แทบจะไม่ตัดไปซีนอื่นเลย เธอต้องพยายามวิ่งเดินทางออกจากป่าเลกวูด (Lakewood) เพื่อไปช่วยเหลือลูกชาย และมีโทรศัพท์มือถือเป็นอุปกรณ์เพียงอย่างเดียวในการเอาตัวรอด รับรู้สถานการณ์ และรับรู้ข้อมูลต่าง ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในโรงเรียน ตัวหนังในส่วนนี้ก็เลยจะเล่าเสมือนว่าคนดูก็กำลังอยู่ในป่าไปพร้อมกัน และค่อย ๆ ปะติดปะต่อข้อมูลชที่เอมีได้จากการพยายามโทรศัพท์ แชต และสืบค้นหาข้อมูล พร้อมกับความกดดันที่ทวีเพิ่มขึ้นแบบเรียลไทม์

เอาจริง ๆ หนังเรื่องนี้ก็มีความคล้าย ๆ กับหนังเรื่อง ‘The Call’ (2013) ที่ใช้โทรศัพท์เป็นตัวกลางในการเอาตัวรอดจากการโดนลักพาตัวนั่นแหละครับ เพียงแต่ว่าหนังเรื่องนี้ใจกล้ากว่ามากที่พยายามจะเล่นกับเทคนิคในการนำเสนอผ่านการใช้โทรศัพท์ของเอมี ซึ่งแม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ แต่ก็จะต้องค้นหาให้ได้ว่าเกิดเหตุอะไรขึ้นบ้าง และค้นหาเบาะแสเกี่ยวกับเหตุกราดยิง โดยที่แทบจะไม่ตัดให้เห็นเหตุการณ์นอกป่า หรือเหตุการณ์ในโรงเรียนเลยแม้แต่น้อย ส่วนตัวละครอื่น ๆ ก็จะมาในรูปแบบเสียงหรือข้อความซะเป็นส่วนใหญ่

จุดเด่นของหนังเรื่องนี้ จริง ๆ ก็ถือว่าเป็นหนังที่มีพล็อตและเข้าใจพล็อตเป็นอย่างดีนะครับ ซึ่ง ‘คริส สปาร์กลิง’ (Chris Sparling) ที่เคยเขียนบทหนังเอาตัวรอด ‘Buried’ (2010) มาก่อน สามารถวางพล็อต และเพิ่มระดับความกดดันในการเอาตัวรอดของเอมีกับโทรศัพท์หนึ่งเครื่องได้อย่างน่าสนใจ และมีวิธีการเล่าเรื่องแบบผ่อนหนักผ่อนเบา คือเรียกว่าตั้งแต่ต้นเรื่อง เราก็จะได้เห็นเอมีลงไปวิ่งในป่ากันตั้งแต่เนิ่น ๆ และค่อย ๆ ผ่อนการเล่าเรื่องให้ช้าลง สลับกับการเร่งจังหวะในช่วงเหตุการณ์ที่พีกขึ้นได้อย่างน่าติดตาม

beartai

Leave a Comment

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *