ชื่อเรื่อง | THE ADAM PROJECT |
เรตติ้ง | 8.5 |
นักแสดง | Ryan Reynolds,Walker Scobell |
จำนวนตอน | 1.46 ชั่วโมง |
รีวิวหนัง THE ADAM PROJECT
รีวิวหนัง THE ADAM PROJECT ภาพยนตร์ดราม่าต่อสู้ไซไฟที่มาพร้อมกับความกวนตามสไตล์ไรอัน เรย์โนลด์ เรียกได้ว่าเป็นเครื่องหมายการค้าไปแล้วสำหรับนักแสดงหนุ่มมาดกวนประจำ HOLLYWOOD อย่างไรอัน เรย์โนลด์ที่โด่งดังเป็นพลุแตกจากบทบาทของ DEADPOOL ตัวละคร DARK HERO จาก SONY PICTURES ที่มีความเชื่อมโยงกับ MARVEL หลังจากนั้นพระเอกหนุ่มชื่อดังคนนี้ก็ได้สวมบทบาทตัวละครสุดป่วนมากมายหลากหลายเรื่องโดยเฉพาะที่ประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลายอย่าง FREE GUY ทำให้เขาดูเป็นผู้ชายที่มีคาแรคเตอร์กวนประสาทมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมไปอีก ด้วยเหตุนี้มันจึงไม่น่าแปลกใจอะไรที่หลังจากนี้เป็นต้นไปเราจะเห็นเขาในบทบาทหนุ่มมาดกวนมากขึ้นกว่าเดิม
อย่างเช่นภาพยนตร์ที่เราจะมาแนะนำกันในวันนี้เป็นภาพยนตร์แนวดราม่าต่อสู้ไซไฟบน NETFLIX ที่มาพร้อมกับความกวนของตัวละครหลักที่สวมบทบาทโดยไรอัน เรย์โนลด์นั่นก็คือภาพยนตร์เรื่อง THE ADAM PROJECT นั่นเอง โดยจะเล่าถึงเรื่องราวของนักเรียนที่เดินทางข้ามเวลามาร่วมมือกับตัวเองในอดีตรวมไปถึงพ่อเพื่อจัดการกอบกู้อนาคตเอาไว้ให้สำเร็จ
ภาพยนตร์เรื่องนี้หากสังเกตดูให้ดีจะมีกลิ่นอายคล้ายกับภาพยนตร์เรื่อง FREE GUY เป็นอย่างมาก นั่นก็เป็นเพราะว่านี่เป็นอีกครั้งหนึ่งที่นักแสดงหนุ่มอย่างไรอั้นได้ร่วมมือกับผู้กำกับชื่อดังอย่างชอว์น เลวี่ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง FREE GUY นั่นเอง ดังนั้นด้วยเครดิตของชื่อผู้กำกับและนักแสดงนำที่เคยสร้างผลงานร่วมกันได้อย่างยอดเยี่ยมมาก่อนทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้มีความน่าสนใจมากขึ้นเป็นอย่างมาก ประกอบกับแนวทางการเล่าเรื่องก็มีความคล้ายคลึงกันไม่น้อยเลยทีเดียวแต่ภาพยนตร์เรื่องนี้เห็นได้ชัดว่ามีการลงทุนสูงกว่าเพราะมีความเป็นไซไฟแบบจัดจ้าน สำหรับใครที่ชื่นชอบบทบาทของไรอันแบบพระเอกหนุ่มมาดกวนเราขอแนะนำว่าไม่ควรพลาดภาพยนตร์เรื่องนี้โดยเด็ดขาด
หนังnetflix น่าดู
เรื่องราวในภาพยนตร์เรื่อง THE ADAM PROJECT
THE ADAM PROJECT เป็นภาพยนตร์ที่จะพาเราไปยังโลกอนาคตในปี 2050 มีนักบินคนหนึ่งจากยุคดังกล่าวชื่อว่าอดัมได้พยายามเดินทางย้อนเวลาจากอนาคตมาเจอตัวเองในอดีตซึ่งก็คือปัจจุบันในขณะนี้ปี 2022 นั่นเอง ภารกิจของเขาก็คือการยับยั้งไม่ให้สามารถสร้างเครื่องย้อนเวลาบนโลกใบนี้ได้สำเร็จ ซึ่งคนที่สร้างเครื่องย้อนเวลาดังกล่าวขึ้นมาก็ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นพ่อผู้ล่วงลับของเขานั่นเอง ด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะยับยั้งการสร้างเครื่องย้อนเวลาซึ่งจะกลายมาเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาในโลกอนาคตให้ได้
ด้วยเหตุนี้อดัมในโลกอนาคตและอดัมในยุคปัจจุบันจึงต้องร่วมมือกันเพื่อปฏิบัติภารกิจนี้ให้สำเร็จโดยมีอนาคตของโลกเป็นเดิมพันแถมมันยังเป็นการช่วยกอบกู้สถานการณ์ในอดีตอีกด้วย แต่เหตุการณ์ก็ยังวุ่นวายมากขึ้นได้อีกเมื่อผู้หญิงที่เขารักหายตัวไปเขาจึงต้องพยายามตามหาว่าสาเหตุของการหายตัวไปของเธอคืออะไรกันแน่เพื่อที่จะได้ช่วยเหลือเธอออกมาให้สำเร็จ โดย ADAM คาดการณ์เอาไว้ว่าการหายตัวไปของหญิงสาวน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับบริษัทที่สร้างเครื่องย้อนเวลา
สุดท้ายแล้วอดัมจะสามารถกอบกู้อนาคตและรักษาอดีตเอาไว้ได้สำเร็จหรือไม่ และคนรักของเขาตอนนี้ไปอยู่ที่ไหน เราสามารถติดตามเอาใจช่วยเขาการต่อได้ในภาพยนตร์
ความรู้สึกหลังรับชมภาพยนตร์เรื่อง THE ADAM PROJECT
THE ADAM PROJECT เป็นภาพยนตร์แนวดราม่าต่อสู้ไซไฟที่ดูเหมือนว่าจะใช้งบประมาณไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ก็ไม่ได้มีการออกมาเปิดเผยจากทาง NETFLIX แต่อย่างใดว่ามีการใช้งบประมาณในการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ไปเท่าไหร่ ถึงอย่างนั้นผู้รับชมจำนวนมากก็ยังคาดหวังว่ามันจะเป็นภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่ที่สามารถทำออกมาได้ดี แต่ความจริงแล้วภาพยนตร์เรื่องนี้โดยรวมก็ถือว่าสามารถทำออกมาได้ตามมาตรฐานภาพยนตร์ของ NETFLIX
ด้วยความที่เป็นภาพยนตร์แนวย้อนเวลาที่มีการสร้างออกมาหลายต่อหลายเรื่องดังนั้นมันจึงจำเป็นที่จะต้องมีทฤษฎีหรือจุดขายใหม่ที่น่าสนใจ แต่น่าเสียดายที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้มีอะไรให้น่าแปลกใจเลยแม้แต่น้อย การดำเนินเรื่องค่อนข้างกลางๆ เดินไปแบบเส้นตรงที่ไม่มีอะไรสลับซับซ้อนมากมาย เป็นการที่พระเอกย้อนเวลากลับไปหาตัวเองสมัยยังเป็นเด็กเพื่อร่วมมือกันในการแก้ปัญหาวิกฤติเวลาในปัจจุบันเท่านั้น ประเด็นเกี่ยวกับเส้นเรื่องเวลาก็ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่หรือซับซ้อนที่น่าสนใจ
ส่วนหนึ่งอาจเกิดจากการที่ผู้กำกับต้องการให้มันเป็นภาพยนตร์แนวครอบครัวที่สามารถรับชมได้ง่ายตั้งแต่เด็กจนถึงผู้ใหญ่ ใช้ตัวละครหลักอย่างไรอัน เรย์โนลด์มาเป็นจุดขายของพระเอกมาดกวนเพียงเท่านั้น การที่บทของภาพยนตร์แนววิทยาศาสตร์อ่อนทำให้ความสมเหตุสมผลไม่มีและโอกาสที่ผู้รับชมจะรู้สึกสนุกสนานไปกับมันก็น้อยลงไป ซึ่งก็เข้าใจได้เพราะภาพยนตร์ตั้งใจที่จะเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับรามากครอบครัวเป็นหลักมากกว่า
ดังนั้นโดยรวมแล้วภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ถือว่ามีจุดเด่นตรงที่มีการรวบรวมเอานักแสดงฮอลลีวูดชื่อดังมาไว้ในเรื่องเดียวเป็นจำนวนไม่น้อย เป็นการนำเสนอเรื่องราวแนวย้อนเวลาผ่านตัวละครที่เต็มไปด้วยความกวน สามารถเล่าเรื่องราวในประเด็นความสัมพันธ์ครอบครัวออกมาได้ค่อนข้างลึกซึ้งและอบอุ่น งานคอมพิวเตอร์ CG ถือว่าสามารถทำออกมาได้ดีและดูเนียนตา joker gaming
แต่สำหรับจุดได้ที่ควรปรับปรุงคือบทที่ไม่สมเหตุสมผลและอ่อนเกินไป เป็นการสอน CHARACTER มาดกวนอีกครั้งของไรอันที่หลายคนอาจจะเริ่มรู้สึกเบื่อแล้ว ไม่มีการอธิบายดูเหมือนกับจะตั้งใจข้ามพักนี้ไปเพราะอาจจะไม่ได้อยากใส่ประเด็นทางวิทยาศาสตร์เข้ามามากมาย แต่สิ่งที่น่าเสียดายมากที่สุดก็คือการที่ตัวละครร้ายไม่มีชั้นเชิงเลยแม้แต่น้อย
ตัวอย่างหนัง THE ADAM PROJECT
รีวิว หนัง THE ADAM PROJECT บางส่วนจาก beartai
หลังจากร่วมงานกับ Netflix ใน ‘Red Notice’ พระเอกแถวหน้าอย่างไรอัน เรย์โนลดส์ (Ryan Reynolds) ก็ผลักดันผลงานชิ้นใหม่อย่าง ‘The Adam Project’ โดยชูจุดเด่นเรื่องของการเดินทางข้ามเวลามาผสมผสานกับหนังแนวครอบครัวที่ยังไม่ทิ้งคาแรกเตอร์กวน ๆ อันเป็นเอกลักษณ์ของเรย์โนลดส์
ตามชื่อเรื่องเลย…อดัม นักบินในโลกอนาคตปี 2050 ได้ขโมยยานติดไทม์แมชชีนเพื่อกลับไปยังปี 2018 เพื่อตามหาคนรักแต่เกิดข้อผิดพลาดจนเขามาโผล่ในปี 2022 และที่นี่เองที่เขาได้พบกับตัวเขาเองในวัย 12 ปี และเพื่อให้สามารถตามหาแฟนสาวได้ทันอดัมทั้ง 2 จำเป็นต้องร่วมมือกันก่อนจะสายเกินไป
จุดเด่นสำคัญที่ทำให้ ‘The Adam Project’ ยืนอยู่เหนือหนังใน Netflix เรื่องอื่นคงหนีไม่พ้นแนวคิดแบบหนังบล็อกบัสเตอร์และทำแบบหนังบล็อกบัสเตอร์กล่าวคือมันถูกปั้นหน้าหนังมาให้คนคาดหวังความสนุกของมันได้จากงานดีไซน์ต่าง ๆ ทั้งคอสตูมเอย การออกแบบงานสร้างเอยไปจนถึงสื่อประชาสัมพันธ์ที่คาดชื่อไรอัน เรย์โนล์ดส์มาเป็นจุดขาย พ่วงด้วยเครดิตงานกำกับของชอว์น เลวี (Shawn Levy) ที่เพิ่งร่วมงานกับเรย์โนลดส์ไปใน ‘Free Guy’ และยังไม่ใช่คนอื่นคนไกลของ Netflix เพราะเขาก็คือโชว์รันเนอร์ของซีรีส์ ‘Stranger Things’ นั่นเอง
แต่ก็เป็นดาบสองคมเหมือนกันเพราะพอหนังเล่นใหญ่และประกาศตัวเองลง Netflix คนดูบางส่วนอาจรู้สึกว่านี่จะเป็นหนึ่งในหนังตีหัวเข้าบ้านอีกหรือเปล่าเพราะเราก็อกหักไปไม่ใช่น้อยสำหรับหนังในแพลตฟอร์มสตรีมมิงชื่อดังเจ้านี้ แต่ผมขอการันตีได้เลยว่างานนี้ เออ…ของจริงว่ะ ! บอกว่าจะไซไฟก็ไซไฟแบบเต็มเหนี่ยว บอกว่าจะมีฮาก็ได้หลายครืน แถมยังเซอร์ไพร์สด้วยดราม่าที่ไม่คิดว่าหนังจะทำเอาน้ำตารื้นได้ขนาดนั้นด้วยนะ
โดยหัวใจสำคัญของ ‘The Adam Project’ คงหนีไม่พ้นบิ๊กไอเดียที่ว่า “ถ้าเรากลับไปบอกตัวเองตอนเด็กได้ เราจะบอกอะไร” ซึ่งมันสามารถจับหัวใจคนดูได้อยู่หมัดตั้งแต่การสร้างตัวละครอดัมให้ห่างไกลจากคำว่าเพอร์เฟกต์สุด ๆ จนเรียกได้ว่าเป็นลูสเซอร์ (Looser) คนนึงก็ไม่ผิดนัก แถมยังเป็นลูสเซอร์ยันตัวตนในโลกอนาคตที่แม้จะมีแฟนสาวสุดสวยทว่าเขาก็ดันต้องมาตามหาเธอแบบข้ามกาลเวลาและได้กลับมาเจอตัวเองในวัย 12 ซึ่งเพิ่งผ่านเหตุการณ์สูญเสียคุณพ่อมาไม่นาน
ซึ่งหัวใจของเรื่องก็ถูกถ่ายทอดได้อย่างดีผ่านการแสดงของไรอัน เรย์โนลดส์และวอล์คเกอร์ สโคเบลล์ (Walker Scobell) ที่แสดงถึงคาแรกเตอร์เหมือนที่แตกต่างของอดัมในสองช่วงวัยได้อย่างมีสีสัน โดยเฉพาะในรายของเรย์โนลดส์ที่สามารถส่งอารมณ์ให้สโคเบลล์ได้อย่างยอดเยี่ยมและเชื่อจริง ๆ ว่าอดัมในอนาคตเองก็เสียใจไม่น้อยกับหลาย ๆ เรื่องที่ผ่านมาในชีวิต และยังส่งมุกทะเล้นกวนกันได้น่ารักน่าชังและสร้างความบันเทิงไม่น้อยเมื่อพวกเขาได้ร่วมจอกัน
ส่วนเจนนิเฟอร์ การ์เนอร์ (Jennifer Garner) ก็ชวนเซอร์ไพร์สไม่น้อยเลยสำหรับบทเอลลี่ แม่ของอดัมที่การแสดงของเธอสามารถสื่อถึงความรักของคนเป็นแม่ได้อย่างยอดเยี่ยม และฉากที่เธอได้เจอกับไรอัน เรย์โนลดส์ในบาร์ก็ทำให้เราอดน้ำตารื้นตามไม่ได้ เรียกได้ว่าการมีอยู่ของการ์เนอร์ทำให้หนังครบรสและน่าประทับใจมาก ๆ
ด้านซีนแอ็กชัน ‘The Adam Project’ ก็ไม่ด้อยไปกว่าหนังฉายโรงเลยทั้งคุณภาพวิชวลเอฟเฟกต์เนียนตา ภาพสวยมากจริง ๆ บ้านใครโทรทัศน์รับดอลบี วิชัน (Dolby Vision) ได้แนะนำให้ลองเลย เพราะสีสีนคอนทราสต์ต่าง ๆ ดูไม่หลอกตาสมจริงมาก และอีกองค์ประกอบคือการมีอยู่ของ แคเธอรีน คีเนอร์ (Catherine Keener) ที่มารับบทมายา ซอร์เรียนได้ร้ายถึงอารมณ์มาก ๆ เป็นองค์ประกอบที่ทำให้ในส่วนแอ็กชันของหนังทำงานกับผู้ชมได้อย่างยอดเยี่ยม
beartai