ชื่อเรื่อง | SAS: Red Notice |
เรตติ้ง | 5.1 |
นักแสดง | Sam Heughan,Ruby Rose,Andy Serkis |
จำนวนตอน | 2.04 ชั่วโมง |
รีวิวหนัง SAS: Red Notice Netflix
รีวิวหนัง SAS: Red Notice Netflix ใครว่าภาพยนตร์ต่อสู้สูตรสำเร็จไม่สนุก เมื่อพูดถึงภาพยนต์สูตรสำเร็จทำให้หลายคนอาจจะรู้สึกอยากจะเบือนหน้าหนีเพราะมันช่างน่าเบื่อ ไม่มีอะไรแปลกใหม่ แถมยังไม่สามารถสร้างความสนุกสนานให้กับเราได้เหมือนกับการที่ภาพยนตร์เหล่านี้ออกมาเป็นครั้งแรกๆ แต่ความจริงแล้วการที่มันเป็นภาพยนตร์สูตรสำเร็จนั้นก็มีความดีของมันอยู่เช่นเดียวกันนั่นก็คือการรับชมง่าย เข้าถึงได้ทุกเพศทุกวัย ค่อนข้างที่จะมั่นใจได้เลยว่าจะไม่มีอะไรเซอร์ไพรส์ให้เราต้องพบเจอกับสิ่งที่เราไม่อยากจะพบบนจอภาพยนตร์ ไม่เพียงเท่านั้นหากเราชื่นชอบภาพยนตร์แนวใดแนวหนึ่งแล้วมีภาพยนตร์ออกมาในแนวเดียวกัน การเล่าเรื่องไขการให้เราได้รับชมมากๆ ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีไม่น้อยเลยทีเดียว
ด้วยเหตุนี้เราจึงอยากจะขอให้ทุกคนลองเปิดใจรับชมภาพยนตร์เรื่อง SAS: Red Notice ภาพยนตร์แอ๊คชั่นระทึกขวัญจากอังกฤษที่ดัดแปลงมาจากนวนิยายชื่อดังในชื่อเดียวกัน แม้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรจากการฉายในโรงภาพยนตร์แต่ปัจจุบันนี้เราสามารถหารับชมได้แล้วบน netflix ต้องยอมรับว่าในฐานะภาพยนตร์ฉายในโรงภาพยนตร์นั้นมันอาจจะยังทำได้ไม่ดีเท่าที่ควรเนื่องจากค่อนข้างที่จะเป็นภาพยนตร์สูตรสำเร็จที่หลายคนไม่เปิดใจรับชม แต่ในฐานะของภาพยนตร์บน Application Streaming ถือว่ามันเป็นภาพยนตร์ที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียวสำหรับการรับชมในช่วงที่กำลังว่าง
และไม่ต้องกังวลไปว่าการที่มันเป็นภาพยนตร์สูตรสำเร็จแล้วจะทำให้เรารู้สึกเบื่อหรือไม่สนุกสนานไปกับมันหรือไม่ รับรองเลยว่าตลอดการรับชมภาพยนตร์เรื่องนี้คุณจะยังคงได้รับความสนุกสนานและความรุนระทึกเหมือนกับการรับชมภาพยนตร์แนวต่อสู้ทั่วไปไม่มีผิดเพี้ยน เพียงแต่มันอาจจะมีความสุขสำเร็จสไตล์อเมริกันมากๆ เท่านั้นเอง หากคุณเป็นคนชื่นชอบภาพยนตร์แนวนี้อยู่แล้วเราขอแนะนำให้ลองรับชมเลย
เรื่องราวในภาพยนตร์เรื่อง SAS: Red Notice
SAS: Red Notice เป็นภาพยนตร์ที่จะเล่าถึงเรื่องราวของชายหนุ่มที่มีชื่อว่าทอม เขานั้นทำงานเป็นทหารรับใช้ชาติด้วยการฆ่าคนจนมือเปื้อนเลือดเป็นมากมาย ขอเป็นเจ้าหน้าที่ฝีมือดีที่ต้องถูกพักงานชั่วคราวหลังจากที่เกิดเหตุการณ์สังหารหนึ่ง ด้วยเหตุนี้เขาจึงตัดสินใจที่จะเดินทางไปใช้ชีวิตอยู่กับแฟนสาวที่มีชื่อว่าโซฟีเพื่อใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ทั้งคู่ได้เดินทางร่วมกันจากอังกฤษระยองฝรั่งเศสด้วยการโดยสารรถไฟฟ้าความเร็วสูง จุดมุ่งหมายของพวกเขาคือการขอแต่งงานที่เต็มไปด้วยความโรแมนติก
ทุกอย่างควรจะไปได้สวยและการท่องเที่ยวในครั้งนี้ควรจะเกิดเรื่องราวดีๆ ขึ้นระหว่างทั้งสองคนแต่มันก็ไม่เป็นเช่นนั้น เมื่ออยู่ดีๆ ก็เกิดเหตุฆาตกรรมขึ้นบนรถไฟฟ้าขบวนที่พวกเขาโดยสารอยู่ และมันก็ได้ไปเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่เกิดขึ้นในบริเวณยุโรปซึ่งนำโดยผู้นำหญิงของเหล่าทหารรับจ้างอเมริกันที่มีชื่อว่าเกรซ เหตุฆาตกรรมนั้นโดยทวีความรุนแรงจนกลายเป็นการบุกจี้รถไฟฟ้าเพื่อหาผลประโยชน์บางอย่างที่ไม่มีใครรู้
ในฐานะที่ทอมเป็นทหารทำให้เขานั้นพยายามหาทางที่จะช่วยเหลือตัวประกันให้สำเร็จก่อนที่ระเบิดที่ติดตั้งเอาไว้บนรถไฟฟ้าขบวนนี้จะทำการพรากชีวิตของทุกคนไปไม่เว้นแม้กระทั่งเขาด้วย แต่มันก็ไม่ง่ายเช่นนะเพราะเขาต้องแข่งกับเวลาทางรัฐบาลก็ดูเหมือนจะรู้เห็นเป็นใจกับการปฏิบัติการสุดอุกอาจในครั้งนี้อีกด้วย เรื่องราวของพวกเขาจะเป็นอย่างไรต่อไปต้องติดตามรับชมกันต่อในภาพยนตร์
ความรู้สึกหลังรับชมภาพยนตร์เรื่อง SAS: Red Notice
SAS: Red Notice เป็นภาพยนตร์สัญชาติอังกฤษแนวต่อสู้สูตรสำเร็จที่เป็นไปด้วยความสนุกสนานและความลุ้นระทึก มีการขนนักแสดงชั้นนำมาสวมบทบาทในภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นจำนวนมาก ในช่วงแรกเราอาจจะรู้สึกว่ามันไม่ได้มีอะไรมากมายมากกว่าฉากแอ๊คชั่นเล็กๆ น้อยๆ กับการตัดสลับเล่าเรื่องราวชีวิตของตัวพระเอก ช่วงเริ่มเรื่องจึงจะเป็นช่วงที่ค่อนข้างน่าเบื่อเพราะภาพยนตร์ต้องการที่จะทำให้เรารู้จักตัวละครในภาพยนตร์มากยิ่งขึ้น การหลังจากที่ภาพยนตร์เข้าสู่องค์ 2 เป็นที่เรียบร้อยแล้วทุกอย่างก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ความสนุกสนานและความเมามันส์จากการต่อสู้นั้นเรียกได้ว่าฉุดไม่อยู่กันเลยทีเดียว
ตัวละครพระเอกที่เป็นทหารนั้นก็สมกับเป็นทหาร เราจะไม่ได้เห็นการตัดสินใจที่น่าหงุดหงิดมาจากตัวละครของพระเอกเลยเนื่องจากเขาเป็นคนที่มีไหวพริบในการจัดการเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว ความชาญฉลาดประกอบกับความสามารถในการต่อสู้ทำให้ตัวละครทั้งสองฝั่งมีความสมน้ำสมเนื้อกันและทำให้การต่อสู้มีความสนุกมากยิ่งขึ้น และที่น่าสนใจก็คือภาพยนตร์ไม่มีการแสงประเด็นเกี่ยวกับปมของตัวละครเข้ามาได้อย่างน่าสนใจเลยทีเดียวโดยเฉพาะฝั่งตัวร้าย มีการสอดแทรกประเด็นทางการเมืองและการคอรัปชั่นเข้ามาได้อย่างกำลังผลิตพอดีไม่ยัดเยียดจนเกินไป
สำหรับข้อเสียของภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คงจะหนีไม่พ้นความเป็นสูตรสำเร็จสไตล์อเมริกันของมันที่ทำให้หากคนที่ไม่ชอบภาพยนตร์แนวนี้ก็จะรู้สึกว่ามันไม่ได้มีความสนุกสนานอะไรแถมยังสามารถเดาได้แทบทั้งเรื่อง มีตัวละครหลายตัวที่อยู่ๆ ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยไม่ได้มีการเล่าต่อแต่อย่างใด งานคอมพิวเตอร์กราฟิกนั้นก็ยังไม่สมจริงเท่าที่ควรทำให้หลายฉากแล้วเห็นเป็นภาพคอมพิวเตอร์กราฟฟิกลอยขึ้นมาเลย
ตัวอย่างหนัง SAS: Red Notice
รีวิว หนัง SAS: Red Notice บางส่วนจาก playinone
SAS: Red Notice (SAS: หงส์ดำผงาด) ภาพยนตร์แอ็คชั่นทริลเลอร์ระทึกขวัญสัญชาติอังกฤษ กำกับโดย มักนุส มาร์เตนส์ ดัดแปลงจากนิยายเรื่อง “Red Notice” ของแอนดี้ แมคแนบ นักเขียนนิยายขายดีและอดีตนายทหารของอังกฤษผู้ที่รับหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างของหนังด้วย โดยมีแซม ฮิวแกน จากซีรี่ส์ “Outlander” รับบทนำเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของ IM5 ที่นั่งรถไฟใต้ดินความเร็วสูงไปกับหญิงคนรัก (แฮนนาห์ จอห์น-คาเมน) เพื่อมุ่งหน้าสู่การขอแต่งงาน ณ ปารีส แต่ปรากฏว่ารถไฟขบวนนั้นได้ถูกผู้ก่อการร้ายยึด และเขาต้องหาทางทำทุกอย่างเพื่อช่วยตัวประกันทั้งหมด โดยหนังเข้าฉายเมื่อเดือนมีนาคม ก่อนจะได้ลงสตรีมมิ่งในเน็ตฟลิกซ์ในเดือนสิงหาคม พร้อมทีมพากย์คุณภาพระดับภาพยนตร์ฉายโรงเลยทีเดียว แม้คะแนนวิจารณ์จะเป็นที่กังขา แต่เราจะไม่มีวันรู้ถ้าไม่มีวันดูด้วยตัวเอง เพราะงั้นมาดูรีวิวกันเลยดีกว่า
ตลอดชีวิตการเป็นทหารทำงานรับใช้ประเทศชาติผ่านการฆ่าคนไปมากมายไม่เคยเป็นปัญหาสำหรับทอม บัคกิ้งแฮม หนุ่มหล่อจากชนชั้นสูงที่ทำงานในหน่วย SAS เจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการมือฉมังที่หลังจากเหตุการณ์สังหารหนึ่งได้ทำให้เขาถูกพักงานจากหน่วยชั่วคราว เขาจึงตัดสินใจที่จะใช้เวลาที่มีอยู่พาแฟนสาวอย่าง โซฟี เดินทางข้ามประเทศจากอังกฤษสู่ทริปขอแต่งงานฝรั่งเศสด้วยรถไฟฟ้าสายความเร็ว กระทั่งเกิดคดีฆาตกรรมภายในรถไฟที่เชื่อมโยงกับเหตุการณ์เกี่ยวกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ในแถบยุโรปที่นำโดย เกรซ ผู้นำหญิงแห่งทหารรับจ้างอเมริกัน ระหว่างที่เขาหาทางปะติดปะต่อ เขากลับผมว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ได้กลายเป็นการบุกจี้รถไฟเพื่อผลประโยชน์บางอย่าง ทอมต้องแข่งขันกับเวลาเพื่อช่วยเหลือตัวประกันที่เหลือให้ได้ ก่อนที่ระเบิดที่ติดตั้งไว้จะระเบิดฆ่าเขา แฟนสาว และผู้โดยสารไปจนหมด มิหนำซ้ำทางการก็เหมือนจะเป็นใจให้การก่อเหตุเกิดขึ้น เขาจึงต้องร่วมมือกับเพื่อนร่วมทีมทหารในหน่วย SAS อย่างเดคลานเพื่อยับยั้งแผนการร้ายให้ได้
ช่วงแรกเกือบหลับแล้ว ด้วยการปูเรื่องที่ตัดสลับไปมาระหว่างตัวร้ายกับฉากแอ็คชั่นกับชีวิตประจำของตัวเอกก็ปาเข้าไปครึ่งชั่วโมง จนเครื่องเริ่มมาติดแบบฉุดไม่อยู่ ด้วยความที่ตัวละครเอกเป็นทหารหน่วยปราบปรามเขาจึงได้โชว์ไหวพริบและฝีมือในการต่อสู้กับคนร้ายอย่างชาญฉลาดไม่มีฉากไหนที่รู้สึกขัดใจเลย ด้วยเรื่องของการเฉือนคมระหว่างนายทหารที่เหมือนหลุดมาจากดายฮาร์ดที่ทั้งสู้ ทั้งวิ่ง ต่อยตีไม่มีพักกับผู้ก่อการร้ายที่มีเจตจำนงอันมุ่งมั่นและไม่มีอ่อนข้อให้เลย แต่ด้วยที่หนังใส่เหตุผลตั้งแต่เริ่มเรื่อง จึงไม่รู้สึกว่ามันเวอร์เกินจริง แม้อารมณ์ของความลุ้นอาจจะไม่ได้มีอะไรตื่นเต้นเพราะด้วยพล็อตสูตรสำเร็จ แต่ก็สามารถทำให้เราติดตามได้ประสาหนังแอ็คชั่นโดนจี้แบบสมัยยุค 90 ใช่ ผมพูดถึงดายฮาร์ด แต่เพิ่มเข้ามาด้วยเรื่องการเมืองที่หักมุมที่คุณจะเหมือนเดาออกว่า คนนี้ร้ายแน่ แต่หนังก็ตัดทางคุณด้วยจังหวะที่คุณคาดไม่ถึงแน่ ๆ หนังไม่ยอมอ้อยอิ่ง ยิงเป็นยิง ฆ่าเป็นฆ่า ด้วยฉากแอ็คชั่นระยะประชิดสุดตื่นเต้น มีการฆ่าที่โหดระดับเรต 18+ ซึ่งก็ค่อนข้างโหด และการเล่าเรื่องที่เหมาะสมกับการเป็นหนังที่เขียนจากหนังสือที่เขียนจากคนที่เคยเป็นทหารอีกที ด้วยฉากไล่ล่าและการตัดสินใจในเวลาอันสั้น ความยาวกว่า 2 ชั่วโมงที่เต็มอิ่ม ถ้าคุณผ่านครึ่งชั่วโมงมาได้ คุณจะเพลิดเพลินกับมันเอามาก ๆ จนจบเรื่องเลยทีเดียว
แม้หน้าหนังจะเป็นหนังแอ็คชั่นทริลเลอร์ แต่ก็แฝงไปด้วยประเด็นปมของตัวละครที่น่าสนใจมากมายในสไตล์ของหนังยุโรป ตัวละครไม่แบนและมีมิติให้รู้สึกอินตาม ไม่ว่าจะเป็นตัวละครเอกอย่างทอม ในฐานะทหารที่ฆ่าศัตรูอย่างไม่ปราณีซึ่งไม่ค่อยมีหนังเรื่องไหนจะตั้งคำถามนอกจากให้ตัวละครฆ่าไปเรื่อย ๆ มีหลายช่วงที่สะท้อนมุมมองของกันและกันโดยใช้สัญลักษณ์หงส์ดำ แทนทั้งคู่ที่มีเหตุผลว่าทำไปทำไม ทำให้มันเป็นการต่อสู้ในเชิงจิตวิทยาด้วย โซเฟียที่เป็นแฟนสาวคนธรรมดาที่โดนดึงให้ตกกับลูกหลงจากการกระทำของตัวเอกในอดีต แต่ไม่ต้องกลัวว่าเธอจะทำตัวน่ารำคาญแบบหนังแอ็คชั่นทั่วไป ฉลาด ใจเย็น คอยซัพพอร์ทตัวเอก แม้จะไม่เข้าใจเหตุผลการกระทำของตัวเอกก็ตาม เดคลาน ที่คอยเป็นเพื่อนคู่คิดกับทอม แต่ในขณะเดียวกันเขาก็มีมุมที่ทอมไม่เคยได้รับรู้ เคลย์เมน หัวหน้าฝ่ายรัฐบาลที่มีวาระซ่อนเร้นคอยมีผลประโยชน์ทับซ้อนที่ทำให้การต่อสู้ของพระเอกนั้นยากลำบากขึ้น เรียกได้ว่าแม้แต่ทีมเดียวกัน ยังไว้ใจกันแทบไม่ได้เลย อารมณ์ความตึงเครียดในภารกิจเลยจะสูงมาก ตรงที่คนนึงอยากทำอย่างนึง แต่อีกคนไม่อยากทำ เป็นความกลืนไม่เข้าคายไม่ออกที่ถูกขยายนอกเหนือจากตัวละครเอก
playinone