ชื่อเรื่องSas: Red Notice
เรตติ้ง5.1
นักแสดงRuby Rose,Sam Heughan,Andy Serkis
จำนวนตอน2.04 ชั่วโมง

รีวิวหนัง Sas: Red Notice Netflix

รีวิวหนัง Sas: Red Notice Netflix ภาพยนตร์แอ็กชันสูตรสำเร็จที่จะทำให้คุณได้สนุกสนานไปกับเรื่องราวได้มากกว่าที่คิด เป็นเรื่องที่น่าน้อยใจไม่น้อยเลยสำหรับภาพยนตร์สูตรสำเร็จทั้งหลายเพราะเพียงแค่มันมีคำว่าสูตรสำเร็จต่อท้ายเท่านั้นผู้คนก็จะปรามาสพวกมันว่าเป็นภาพยนตร์ที่ไม่ได้สนุกสนานหรือสามารถเดาเรื่องราวทั้งหมดได้จนไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น แต่ความจริงแล้วแม้ว่ามันจะเป็นภาพยนตร์สูตรสำเร็จ แต่หากผู้กำกับและทีมงานสามารถสอดแทรกความแตกต่างและความน่าสนใจเข้าไปได้มันก็จะช่วยให้ภาพยนตร์เรื่องนั้นสามารถมอบความสนุกสนานให้กับเราได้มากกว่าที่คิด

เพราะต้องยอมรับว่าภาพยนตร์สูตรสำเร็จนั้นกลายมาเป็นภาพยนตร์สูตรสำเร็จได้เพราะมันสนุกและได้รับความนิยมในวงกว้างดังนั้นเราจึงอยากจะให้ทุกคนลองเปิดใจรับชมภาพยนตร์แอ็กชันสูตรสำเร็จบน Netflix เรื่อง Sas: Red Notice เพราะรับรองได้เลยว่ามันจะทำให้คุณรู้สึกสนุกสนานไปกับการต่อสู้และเรื่องราวสุดลุ้นระทึกได้มากกว่าที่คุณคิดอย่างแน่นอนแม้ว่าเรื่องราวภายในภาพยนตร์นั้นจะเหมือนกับเรื่องราวของภาพยนตร์แนวต่อสู้เอาตัวรอดเรื่องอื่น

แต่ทีมงานกลับสามารถสอดแทรกความสนุกสนานที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเองเข้าไปได้อย่างกำลังพอดีมันจึงเป็นภาพยนตร์สูตรสำเร็จที่มีความแตกต่างไม่น้อยเลยทีเดียวไม่เพียงเท่านั้นภาพยนตร์เรื่องนี้ยังสอดแทรกประเด็นต่างๆเข้ามาได้มากมายอย่างน่าเหลือเชื่อเลยทีเดียวหากเทียบกับเรื่องราวที่พวกเขาเล่าแล้วว่าจะเป็นประเด็นเกี่ยวกับความสัมพันธ์ปมของตัวละครหรือแม้แต่ประเด็นทางด้านการเมืองหากคุณอยากรู้แล้วว่าเรื่องราวในภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นอย่างไรไปดูกันเลย

เรื่องราวในภาพยนตร์เรื่อง Sas: Red Notice

Sas Red Notice จะเล่าถึงเรื่องราวของชายหนุ่มที่มีชื่อว่าทอมเขานั้นเป็นพนักงานที่อยู่ในฝ่ายปฏิบัติการของหน่วยงานทางทหารแห่งหนึ่งตลอดชีวิตการเป็นทหารที่ผ่านมาเขานั้นต้องสังหารผู้คนไปเป็นจำนวนมาก แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เขานั้นได้รับความกระทบกระเทือนทางด้านจิตใจ แต่อย่างใดเขายังคงมีความสุขดีในการรับใช้ชาติและการใช้ชีวิตส่วนตัวกับคนรักอย่างโซฟี แต่แล้วในวันหนึ่งเขากลับด้านไปทำบางสิ่งบางอย่างขึ้นมาจนทำให้ต้องถูกพักงานชั่วคราวโชคดีที่ความรักของทั้งสองคนนั้นกำลังหวานชื่น

และพวกเขาก็ตั้งใจว่าจะใช้เวลาว่างจากการถูกพักงานในครั้งนี้เดินทางไปยังฝรั่งเศสในกรุงปารีสด้วยเหตุนี้ทั้งสองจึงได้ตัดสินใจเดินทางด้วยรถไฟฟ้าใต้ดินความเร็วสูงเพื่อเดินทางไปยังสถานที่ในฝันโดยทอมนั้นตั้งใจว่าเขาจะไปขอแต่งงานหญิงสาวที่เขารักทำมกลางบรรยากาศโรแมนติกในกรุงปารีส แต่หลังจากที่พวกเขาเดินทางมาได้ไม่นานก็เกิดเหตุคดีฆาตกรรมขึ้นบนรถไฟที่พวกเขาโดยสารและมันก็สามารถเชื่อมโยงเข้ากับเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในแถบยุโรปที่เคยมีคนสืบทราบว่ามีความเกี่ยวข้องกับผู้นำทหารรับจ้างอเมริกันที่มีชื่อว่าเกรซไม่เพียงเท่านั้น

หลังจากนั้นไม่นานรถไฟโบกี้ที่พวกเขาโดยสารนั้นก็มีกลุ่มผู้ก่อการร้ายขึ้นมาบุกปล้นและจับทุกคนเป็นตัวประกันทอมที่เป็นถึงทหารจึงต้องพยายามทุกวิถีทางที่จะช่วยเหลือตัวประกันทุกคนให้สำเร็จไม่เพียงเท่านั้นเขายังต้องพยายามปกป้องโซมีหญิงสาวที่เขารักอีกด้วยท่ามกลางสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยความตึงเครียดและข้อ จำกัด ในด้านสถานที่เขาจะสามารถช่วยเหลือทุกคนได้หรือไม่ต้องไปติดตามรับชมกันต่อในภาพยนตร์

ความรู้สึกหลังรับชมภาพยนตร์เรื่อง Sas: Red Notice

Sas Red Notice เป็นภาพยนตร์ต่อสู้สูตรสำเร็จที่ในช่วงเริ่มเรื่องนั้นอาจจะดูดำเนินเรื่องช้าและน่าเบื่อไปบ้างแถมยังไม่มีจากการต่อสู้ให้เราได้เห็นอีกด้วย แต่หลังจากที่เรื่องราวเริ่มเข้าสู่องค์ 2 เป็นที่เรียบร้อยแล้วเราก็จะเริ่มได้เห็นฉากการ

ต่อสู้มากยิ่งขึ้นโดยรอบตัดสลับกับเรื่องราวชีวิตของตัวละครแต่ละตัวหลังจากนั้นภาพยนตร์ก็จะดำเนินเรื่องราวแบบเข้มข้นที่ทำให้เรานั่งไม่ติดเก้าอี้กันเลยทีเดียวนอกจากการต่อสู้ที่จะเต็มไปด้วยความสนุกสนานแล้วเรื่องราวของตัวละครแต่ละตัวนั้นก็เต็มไปด้วยความน่าสนใจและมีเสน่ห์เป็นอย่างมากอีกด้วยความสนุกสนานของการต่อสู้ในภาพยนตร์เรื่องนี้แทบจะเทียบเท่าได้กับภาพยนตร์เรื่อง Die Hard ก็ว่าได้เพราะมันเต็มไปด้วยความลุ้นระทึกที่ทำให้เราใจเต้นตลอดเวลาเป็นการไล่ล่าและต่อสู้แบบไม่มีจังหวะให้ได้หยุดหายใจเลยแม้แต่น้อย

แต่ละสายนั้นต่างก็มีฝีมือในการต่อสู้และมีไหวพริบแทบจะไม่แตกต่างกันด้วยความที่ฝีมือของทั้งสองฝ่ายใกล้เคียงกันเป็นอย่างมากมันจึงกลายเป็นภาพยนตร์ต่อสู้ที่สนุกสนานมากที่สุดอีกหนึ่งเรื่องบน Netflix ไม่เพียงเท่านั้นภาพยนตร์ยังสอดแทรกประเด็นต่างๆเข้ามาได้มากมายและเล่นได้กำลังพอดีไม่มากหรือน้อยจนเกินไปไม่มีโปมหรือประเด็นไหนที่เล่ามาแล้วจมหายไปกับเรื่อง แต่อย่างไรก็ตามภาพยนตร์เรื่องนี้มีฉากการต่อสู้ที่ค่อนข้างดิบเถื่อนไม่น้อยเลยทีเดียวไม่เพียงเท่านั้น

มันยังเป็นภาพยนตร์สูตรสำเร็จสไตล์อเมรีหากใครไม่ชอบก็จะไม่ชอบไปเลยดังนั้นหากต้องการจะรับชมภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างแรกที่ต้องทำเลยคือการเปิดใจว่ามันจะเป็นภาพยนตร์สูตรสำเร็จที่เราพอจะเดาเรื่องราวได้ตลอดทั้งเรื่อง แต่รับรองเลยว่ามันจะสามารถสร้างความสนุกสนานและลุ้นระทึกให้กับคุณได้ไม่แตกต่างจากภาพยนตร์แนวต่อรู้เรื่องต่อสู้เรื่องอื่นอย่างแน่นอน

ตัวอย่างหนัง Sas: Red Notice

รีวิว หนัง Sas: Red Notice บางส่วนจาก playinone

SAS: Red Notice (SAS: หงส์ดำผงาด) ภาพยนตร์แอ็คชั่นทริลเลอร์ระทึกขวัญสัญชาติอังกฤษ กำกับโดย มักนุส มาร์เตนส์ ดัดแปลงจากนิยายเรื่อง “Red Notice” ของแอนดี้ แมคแนบ นักเขียนนิยายขายดีและอดีตนายทหารของอังกฤษผู้ที่รับหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างของหนังด้วย โดยมีแซม ฮิวแกน จากซีรี่ส์ “Outlander” รับบทนำเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของ IM5 ที่นั่งรถไฟใต้ดินความเร็วสูงไปกับหญิงคนรัก (แฮนนาห์ จอห์น-คาเมน) เพื่อมุ่งหน้าสู่การขอแต่งงาน ณ ปารีส แต่ปรากฏว่ารถไฟขบวนนั้นได้ถูกผู้ก่อการร้ายยึด และเขาต้องหาทางทำทุกอย่างเพื่อช่วยตัวประกันทั้งหมด โดยหนังเข้าฉายเมื่อเดือนมีนาคม ก่อนจะได้ลงสตรีมมิ่งในเน็ตฟลิกซ์ในเดือนสิงหาคม พร้อมทีมพากย์คุณภาพระดับภาพยนตร์ฉายโรงเลยทีเดียว แม้คะแนนวิจารณ์จะเป็นที่กังขา แต่เราจะไม่มีวันรู้ถ้าไม่มีวันดูด้วยตัวเอง เพราะงั้นมาดูรีวิวกันเลยดีกว่า

ตลอดชีวิตการเป็นทหารทำงานรับใช้ประเทศชาติผ่านการฆ่าคนไปมากมายไม่เคยเป็นปัญหาสำหรับทอม บัคกิ้งแฮม หนุ่มหล่อจากชนชั้นสูงที่ทำงานในหน่วย SAS เจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการมือฉมังที่หลังจากเหตุการณ์สังหารหนึ่งได้ทำให้เขาถูกพักงานจากหน่วยชั่วคราว เขาจึงตัดสินใจที่จะใช้เวลาที่มีอยู่พาแฟนสาวอย่าง โซฟี เดินทางข้ามประเทศจากอังกฤษสู่ทริปขอแต่งงานฝรั่งเศสด้วยรถไฟฟ้าสายความเร็ว กระทั่งเกิดคดีฆาตกรรมภายในรถไฟที่เชื่อมโยงกับเหตุการณ์เกี่ยวกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ในแถบยุโรปที่นำโดย เกรซ ผู้นำหญิงแห่งทหารรับจ้างอเมริกัน ระหว่างที่เขาหาทางปะติดปะต่อ เขากลับผมว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ได้กลายเป็นการบุกจี้รถไฟเพื่อผลประโยชน์บางอย่าง ทอมต้องแข่งขันกับเวลาเพื่อช่วยเหลือตัวประกันที่เหลือให้ได้ ก่อนที่ระเบิดที่ติดตั้งไว้จะระเบิดฆ่าเขา แฟนสาว และผู้โดยสารไปจนหมด มิหนำซ้ำทางการก็เหมือนจะเป็นใจให้การก่อเหตุเกิดขึ้น เขาจึงต้องร่วมมือกับเพื่อนร่วมทีมทหารในหน่วย SAS อย่างเดคลานเพื่อยับยั้งแผนการร้ายให้ได้

ช่วงแรกเกือบหลับแล้ว ด้วยการปูเรื่องที่ตัดสลับไปมาระหว่างตัวร้ายกับฉากแอ็คชั่นกับชีวิตประจำของตัวเอกก็ปาเข้าไปครึ่งชั่วโมง จนเครื่องเริ่มมาติดแบบฉุดไม่อยู่ ด้วยความที่ตัวละครเอกเป็นทหารหน่วยปราบปรามเขาจึงได้โชว์ไหวพริบและฝีมือในการต่อสู้กับคนร้ายอย่างชาญฉลาดไม่มีฉากไหนที่รู้สึกขัดใจเลย  ด้วยเรื่องของการเฉือนคมระหว่างนายทหารที่เหมือนหลุดมาจากดายฮาร์ดที่ทั้งสู้ ทั้งวิ่ง ต่อยตีไม่มีพักกับผู้ก่อการร้ายที่มีเจตจำนงอันมุ่งมั่นและไม่มีอ่อนข้อให้เลย แต่ด้วยที่หนังใส่เหตุผลตั้งแต่เริ่มเรื่อง จึงไม่รู้สึกว่ามันเวอร์เกินจริง แม้อารมณ์ของความลุ้นอาจจะไม่ได้มีอะไรตื่นเต้นเพราะด้วยพล็อตสูตรสำเร็จ แต่ก็สามารถทำให้เราติดตามได้ประสาหนังแอ็คชั่นโดนจี้แบบสมัยยุค 90 ใช่ ผมพูดถึงดายฮาร์ด แต่เพิ่มเข้ามาด้วยเรื่องการเมืองที่หักมุมที่คุณจะเหมือนเดาออกว่า คนนี้ร้ายแน่ แต่หนังก็ตัดทางคุณด้วยจังหวะที่คุณคาดไม่ถึงแน่ ๆ หนังไม่ยอมอ้อยอิ่ง ยิงเป็นยิง ฆ่าเป็นฆ่า ด้วยฉากแอ็คชั่นระยะประชิดสุดตื่นเต้น มีการฆ่าที่โหดระดับเรต 18+ ซึ่งก็ค่อนข้างโหด และการเล่าเรื่องที่เหมาะสมกับการเป็นหนังที่เขียนจากหนังสือที่เขียนจากคนที่เคยเป็นทหารอีกที ด้วยฉากไล่ล่าและการตัดสินใจในเวลาอันสั้น ความยาวกว่า 2 ชั่วโมงที่เต็มอิ่ม ถ้าคุณผ่านครึ่งชั่วโมงมาได้ คุณจะเพลิดเพลินกับมันเอามาก ๆ จนจบเรื่องเลยทีเดียว

แม้หน้าหนังจะเป็นหนังแอ็คชั่นทริลเลอร์ แต่ก็แฝงไปด้วยประเด็นปมของตัวละครที่น่าสนใจมากมายในสไตล์ของหนังยุโรป ตัวละครไม่แบนและมีมิติให้รู้สึกอินตาม ไม่ว่าจะเป็นตัวละครเอกอย่างทอม ในฐานะทหารที่ฆ่าศัตรูอย่างไม่ปราณีซึ่งไม่ค่อยมีหนังเรื่องไหนจะตั้งคำถามนอกจากให้ตัวละครฆ่าไปเรื่อย ๆ มีหลายช่วงที่สะท้อนมุมมองของกันและกันโดยใช้สัญลักษณ์หงส์ดำ แทนทั้งคู่ที่มีเหตุผลว่าทำไปทำไม ทำให้มันเป็นการต่อสู้ในเชิงจิตวิทยาด้วย โซเฟียที่เป็นแฟนสาวคนธรรมดาที่โดนดึงให้ตกกับลูกหลงจากการกระทำของตัวเอกในอดีต แต่ไม่ต้องกลัวว่าเธอจะทำตัวน่ารำคาญแบบหนังแอ็คชั่นทั่วไป ฉลาด ใจเย็น คอยซัพพอร์ทตัวเอก แม้จะไม่เข้าใจเหตุผลการกระทำของตัวเอกก็ตาม เดคลาน ที่คอยเป็นเพื่อนคู่คิดกับทอม แต่ในขณะเดียวกันเขาก็มีมุมที่ทอมไม่เคยได้รับรู้ เคลย์เมน หัวหน้าฝ่ายรัฐบาลที่มีวาระซ่อนเร้นคอยมีผลประโยชน์ทับซ้อนที่ทำให้การต่อสู้ของพระเอกนั้นยากลำบากขึ้น เรียกได้ว่าแม้แต่ทีมเดียวกัน ยังไว้ใจกันแทบไม่ได้เลย อารมณ์ความตึงเครียดในภารกิจเลยจะสูงมาก ตรงที่คนนึงอยากทำอย่างนึง แต่อีกคนไม่อยากทำ เป็นความกลืนไม่เข้าคายไม่ออกที่ถูกขยายนอกเหนือจากตัวละครเอก

ประเด็นของเรื่อง มันคือการเมืองระหว่างประเทศเลยทีเดียว โดยเฉพาะชนวนที่เกิดจากเรื่องของการทำธุรกิจและการคอรัปชั่นภายในรัฐบาลที่ส่งผลกระทบต่อคนหมู่มาก และแน่นอนว่ารัฐบาลพยายามอย่างมากที่จะปิดบังและทำให้ผู้ก่อการร้ายเป็นเพียงแค่ตัวร้าย ทั้งที่ความชั่วร้ายที่แท้จริงคือพวกเขาที่ก่อขึ้นมาและทำเป็นไม่สนใจ แน่นอนว่าหนังอาจให้ภาพของการก่อการร้ายเป็นสิ่งที่น่ากลัว แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่าคือผลประโยชน์ทับซ้อนระหว่างกัน ทั้งในเรื่องเงิน เรื่องอำนาจ เรื่องของทรัพยากร ซึ่งเชื่อมโยงเป็นระยะ ๆ ซึ่งช่วงแรกเราอาจจะไม่เข้าใจเหมือนตัวเอก แต่เมื่อได้ดูไปเรื่อย ๆ เราก็จะรู้สึกคิดตามแล้วว่าสิ่งที่กลุ่มผู้ก่อการร้ายทำที่มีเป้าหมาย มันเหมาะสมหรือเปล่า แล้วทำไมรัฐบาลถึงต้องหักหลังประชาชนเพื่อผลประโยชน์อันน้อยนิด หรือแม้แต่คนในหน่วยปราบปรามที่ดันกลายเป็นหนอนบ่อนไส้และผลกระทบที่มีต่อประเทศต่าง ๆ อย่างไม่น่าเชื่อ เรียกได้ว่าเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจ ซึ่งทำให้มันเป็นมากกว่าหนังแอ็คชั่น ยิงตายเป็นตายเลือดสาดเพียงแค่นั้น แต่ยังมีอะไรให้เราได้คิดเกี่ยวกับการกระทำของตัวละครในเรื่องด้วย ไม่ว่าจะในความสัมพันธ์หรือผลที่ตามมาจากการกระทำนั้น ๆ

playinone

หารายได้เสริมกับคาสิโนออนไลน์และแทงบอลออนไลน์ที่ดีที่สุด บริการ ufa369 ฝากถอนรวดเร็ว 24 ชม. ด้วยระบบ ฝากถอนออโต้ เว็บตรงไม่ผ่านเอเย่นต์ ที่ทันสมัยที่สุด มีผู้ใช้งานมากที่สุดในตอนนี้

Leave a Comment

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *