รีวิวหนัง NOT OKAY

ชื่อเรื่องNOT OKAY
เรตติ้ง6.5
นักแสดงZoey Deutch,Mia Isaac,Dylan O’Brien
จำนวนตอน1.40 ชั่วโมง

รีวิวหนัง NOT OKAY

รีวิวหนัง NOT OKAY ภาพยนตร์แนวตลกร้ายที่หยิบนำเอาเรื่องราวของ INFLUENCER มาตบหน้ากลางสี่แยก สมัยก่อนคนที่จะมีชื่อเสียงได้นั้นมีอยู่เพียงแค่ 3 ประเภทเท่านั้นนั่นก็คือดารานักแสดง คนรวย และคนที่มีความสามารถ เนื่องจากคนเหล่านี้จะสามารถยึดพื้นที่สื่อได้อย่างไม่ยากเย็น หากคุณเป็นดารานักแสดงแน่นอนว่าคุณต้องปรากฏอยู่ตามสื่อสาธารณะอยู่แล้ว เป็นคนรวยก็มีข่าวซุบซิบไฮโซ เป็นคนที่มีความสามารถก็ได้ลงหนังสือพิมพ์ออกข่าวโทรทัศน์เพื่อป่าวประกาศถึงความสามารถที่มี แต่ในปัจจุบันนี้การมีชื่อเสียงนั้นสามารถทำได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม ขอเพียงแค่คุณเป็นคนที่มีความสามารถ ไม่เกี่ยวกับหน้าตาหรือความร่ำรวยอีกต่อไป คุณก็สามารถเป็นคนดังได้ผ่านทางอินเทอร์เน็ตหรือที่เรารู้จักกันในชื่อ INFLUENCER นั่นเอง 

INFLUENCER หมายถึงผู้ที่มีอิทธิพลบนโลกอินเทอร์เน็ต มีชื่อเสียงโด่งดัง คนรู้จักมากกว่าดารานักแสดงเสียอีก มีผู้ติดตามตั้งแต่หลักหมื่นไปจนถึงหลักล้าน กลุ่มคนเหล่านี้สามารถใช้อิทธิพลโซเชียลของตัวเองสร้างความเปลี่ยนแปลงขึ้นมาได้ไม่ว่าจะเป็นฐานะของตนเองหรือชี้เป็นชี้ตายคนในสังคม แค่พวกเขาโพสต์ลงบนสื่อโซเชียลมีเดียส่วนตัวว่าไม่พอใจใครหรือร้านไหนก็ตามแฟนคลับก็พร้อมที่จะไปถล่มอย่างรวดเร็วโดยที่บางทีก็ไม่ได้หาข้อมูลก่อนเลยว่าเป็นความจริงหรือไม่ด้วยซ้ำไป ด้วยความที่อยู่บนโลกอินเทอร์เน็ตดังนั้นเราจึงไม่สามารถรู้ได้เลยว่าพวกเขาเหล่านี้แท้จริงแล้วมีชีวิตความเป็นอยู่อย่างไร เป็นคนยังไงกันแน่

หนังดราม่า โรแมนติก

ดังนั้นภาพยนตร์ที่เราจะมาแนะนำกันในวันนี้อย่าง NOT OKAY จึงเป็นภาพยนตร์ตลกร้ายที่หยิบยกนำเอาประเด็นเกี่ยวกับ INFLUENCER ออกมานำเสนอเหมือนลากมาตบหน้ากลางสี่แยก ถ่ายทอดประเด็นสังคมบนโลกออนไลน์ที่เต็มไปด้วย FAKE NEWS การปั่นแฮชแท็ก หรือแม้แต่การด่ากันไปมาแบบไม่เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงโดยที่ไม่ได้รู้เลยว่าอะไรเป็นอะไรออกมาได้อย่างเจ็บแสบ ภาพยนตร์เรื่องนี้จะมีความน่าสนใจอย่างไรไปดูกันเลยเรื่องราวในภาพยนตร์เรื่อง NOT OKAY

NOT OKAY เป็นภาพยนตร์ที่เล่าถึงเรื่องราวของหญิงสาวคนหนึ่งที่มีชื่อว่าแดนนี่ ปกติแล้วเธอทำงานเป็นบรรณาธิการในสำนักพิมพ์แห่งหนึ่งที่ดูเหมือนจะไปได้ดี แต่หน้าที่การงานของเธอกลับมาถึงทางตันเสียอย่างนั้นเพราะเธอดันเป็นคนที่มีนิสัยและบุคลิกที่ไม่น่าคบหาสักเท่าไหร่ ไม่เพียงเท่านั้นผลงานบทความของเธอยังออกมาเละเทะจนดูไม่ได้อีกต่างหาก ผู้คนต่างตั้งข้อกังขาเกี่ยวกับฝีมือของเธอว่าเพราะเหตุใดจึงยังคงสามารถนั่งอยู่ในตำแหน่งนี้ได้แถมเจ้าตัวก็ยังดูไม่เป็นเดือดเป็นร้อนสักเท่าไหร่อีกด้วย สาเหตุก็เป็นเพราะว่าเธอมีแรงขับเคลื่อนในการอยู่ที่นี่เป็นผู้ชายนั่นเอง

และด้วยความที่เธอนั้นเป็นคนที่ชื่นชอบผู้ชายเป็นอย่างมากทำให้ในวันหนึ่งเธอนั้นเกิดความคิดสุดแปลกประหลาดขึ้นมาด้วยการปลอมตัวมโนว่าตนเองนั้นได้เดินทางไปร่วมงานที่เต็มไปด้วยเหล่าคนดังในกรุงปารีส เธอใช้ชีวิตอย่างสวยหรูและสุขสบายพร้อมทั้งแชร์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นลงบนสื่อโซเชียลมีเดียจนทำให้คนเกิดความรู้สึกอิจฉา แต่ในความเป็นจริงแล้วเธอไม่ได้ไปแต่อย่างใด เธอเพียงแค่นำเอาภาพมาแต่ง PHOTOSHOP ไปลงเท่านั้นเอง 

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าความสวยของเธอทำให้เกิดเหตุการณ์เหมือนแจ็คพอตใหญ่ขึ้นมา เพราะหลังจากที่เธอนั้นโพสต์ภาพชีวิตดีๆ ที่ลงตัวในฝรั่งเศสได้เพียงไม่นานเท่านั้นก็มีข่าวว่าเกิดเหตุวินาศกรรมบริเวณสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังในฝรั่งเศส ด้วยเหตุนี้เธอจึงต้องมายืนอยู่บนทางแยกว่าจะตัดสินใจอย่างไรต่อไปดี จะปล่อยให้ทุกคนรู้ว่าเธอโกหกมาตั้งนานตอนนี้หรือจะปล่อยให้สิ่งที่ทำอยู่ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ชีวิตคนดัง INFLUENCER ที่แสนจะจอมปลอมของเธอนั้นจะเป็นอย่างไรต่อไป ต้องไปติดตามรับชมกันต่อในภาพยนตร์ และนี่คือความรู้สึกหลังรับชมภาพยนตร์เรื่อง NOT OKAY

NOT OKAY เป็นภาพยนตร์ที่มีแนวคิดค่อนข้างน่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว ด้วยความเป็นภาพยนตร์ตลกร้ายอยู่แล้วแถมยังนำเอาประเด็นที่จิกกับสังคมบนโลกอินเทอร์เน็ตได้อย่างเจ็บแสบโดยเฉพาะเหล่า INFLUENCER ทั้งหลายที่ถ่ายทอดชีวิตดีๆ ของตนเองบนอินเทอร์เน็ตโดยที่เราไม่ได้รู้เลยว่าความเป็นจริงแล้วพวกเขาต้องเผชิญกับอะไรบ้าง ทำให้การนำเสนอตลอดทั้งเรื่องนั้นเหมือนจะตลกแต่ก็ขำไม่ออก ในขณะเดียวกันเองมันก็ทำให้เรารู้สึกอดสงสัยไม่ได้ว่าแล้วสิ่งที่เราเห็นอยู่บนอินเทอร์เน็ตนั้นความจริงคืออะไรกันแน่ ดูเหมือนว่าเพียงแค่การเล่น FACEBOOK หรือ INSTAGRAM นั้นจะต้องใช้วิจารณญาณมากกว่าที่คิดไว้ 

ที่น่าสนใจไปมากกว่านั้นก็คือภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดยนักแสดงชื่อดังอย่างควินน์ เชพพาร์ดที่หันมาจับงานเบื้องหลังเป็นครั้งแรก แถมภาพยนตร์เรื่องนี้เธอยังเขียนบทเองทั้งหมดอีกด้วย หากสังเกตดูให้ดีเราจะพบว่าการเล่าเรื่องของเธอนั้นมีความเฉพาะตัวไม่น้อย แม้ว่าจะผ่านงานแสดงมาเยอะแต่เธอก็ไม่ถูกผลงานของผู้กำกับคนอื่นครอบงำแต่อย่างใด สามารถสะท้อนมุมมองความเป็นผู้หญิงในสังคมที่เต็มไปด้วยความเห็นข้างบนโลกอินเทอร์เน็ตออกมาได้เป็นอย่างดี

โดยรวมแล้วภาพยนตร์เรื่องนี้ถือว่าสามารถสะท้อนสังคมบนโลกอินเทอร์เน็ตออกมาได้อย่างเจ็บแสบ เล่นประเด็นเรื่องการแข่งขันว่าใครมีชีวิตที่ดีกว่าโดยที่ไม่ได้สนว่าเบื้องหลังนั้นแต่ละคนต้องผ่านอะไรมาบ้าง แม้ว่าบางจุดอาจจะมีความซ้ำซากจำเจอยู่บ้างแต่ก็ถือว่าสามารถสื่อสารสิ่งที่ต้องการจะบอกออกมาได้เป็นอย่างดี ตัวละครมีมิติที่น่าสนใจ ดูน่ารังเกียจแต่ก็ไม่สามารถเกลียดได้ลงเพราะเราเข้าใจว่าทำไมเธอจึงทำแบบนั้นลงไป หลังจบภาพยนตร์เรื่องนี้แล้วเชื่อว่าทุกคนน่าจะมีวิจารณญาณในการเล่นอินเทอร์เน็ตมากขึ้นกว่าเดิมไม่น้อยเลยทีเดียว 


ตัวอย่างหนัง NOT OKAY

รีวิว หนัง NOT OKAY บางส่วนจาก trueid

หยิบเอามาเล่าและขยี้เป็นรีวิวเบา ๆ เพราะอยากจะแนะนำกันเบา ๆ สักหน่อย กับหนังตลกร้ายเรื่องล่าสุดที่เป็นการหยิบเอาประเด็นสังคมสตรอว์เบอร์รีแห่งโลกโซเชียลมีเดียว ทั้งแฮชแท็ก ทั้งเฟคนิวส์ ผุดขึ้นมาแทบจะทุกวัน และเรื่องนี้ก็เป็นหนึ่งในการขับเคลื่อนตีแผ่จุดนั้นใน “Not Okay” ที่สะท้อนถึงอุดมการณ์และแนวคิดของใคร ๆ ที่อยากจะเป็นซัมวันหรืออินฟูลเอนเซอร์ที่มีชื่อเสียง โดยที่บางครั้งก็มีสิ่งที่ต้องยอมแลกมาก็ตาม

Not Okay เป็นเรื่องราวของ แดนนี่ บรรณาธิการสาวในสำนักพิมพ์ที่กำลังจนตรอกกับหน้าที่การงาน เพราะนอกจากเป็นบุคคลที่ไม่มีใครอยากคบแล้ว นางยังทำผลงานเขียนออกมาได้เละเทะไม่เบา แต่เพราะว่าเธออยู่ทีนี่ได้เพราะมีผู้ชายเป็นแรงขับเคลื่อน ทำให้เกิดความคิดแผลง ๆ ปลุกปั้นมโหว่าตัวเองไปร่วมอีเวนท์ที่กรุงปารีส ใช้ชีวิตสวยหรูแชร์ลงโซเชียลฯ ให้ใครอิจฉา แต่แท้ที่จริงเธอแค่ตัดแต่งภาพจากโฟโต้ช้อปโพสต์ลงไปแค่นั้น

แต่แล้วทุกอย่างก็เหมือนเป็นแจ็คพ็อคครั้งใหญ่ เพราะหลังจากที่เธอโพสต์ภาพชีวิตดี ๆ ที่เมืองนอกได้เพียงไม่นาน ก็มีข่าวด่วนว่าเหตุการณ์วินาศกรรมขึ้นบริเวณสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของฝรั่งเศส แดนนี่จึงต้องตกอยู่ในภวังค์ของความคิดตัดสินใจ จะปล่อยให้โป๊ะแตกตอนนี้ หรือว่าปล่อยโชว์ให้ดำเนินไปต่อ บทชีวิตคนดังอันแสนจอมปลอมของหญิงสาวที่อย่างจะเป็น ‘ซัมวัน’ ประจำเมืองใหญ่อย่าง นิวยอร์ก ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

เอาจริง ๆ แอบรู้สึกว้าวกับคอนเซ็ปต์ของหนัง Not Okay อยู่ไม่เบาเลยนะ แม้ว่าจะเป็นหนังที่หยิบขึ้นมาเพื่อจิกกัดสังคมโซเชียลมีเดียและแวดวงอินฟูลเอนเซอร์ทั้งหลาย แต่มุมมองที่หนังเลือกนำเสนอในครั้งนี้ค่อนข้างน่าสนใจ ถึงแม้ว่าถ้าจะลงรายละเอียดปลีกย่อย แอบคิดว่าน่าจะต้องเก็บงำเอาไว้ยืดยาว และเหมาะจะทำออกมาเป็นรูปแบบซีรีส์มากกว่า แต่เมื่อมันกลายเป็นหนังที่มีความยาวแค่ชั่วโมงกว่า ๆ ทำให้องค์ประกอบบางอย่างก็ถูกมองข้ามไปอย่างน่าเสียดาย

นี่คือผลงานการกำกับของ “ควินน์ เชพพาร์ด” นักแสดงสาวที่ถือว่ากำลังมาเอาดีด้านงานเบื้องหลัง โดยเรื่องนี้เป็นผลงานเบื้องหลังเรื่องที่ 2 ของเธอ และแน่นอนว่าเธอรับหน้าที่เขียนบทหนังเรื่องนี้ด้วยตัวเองทั้งเรื่อง รวมทั้งร่วมแสดงบทรับเชิญในหนังด้วย ถ้าหากว่าคุณลองสังเกตดูดี ๆ ซึ่งต้องยอมรับว่างานกำกับของเธอถือว่าสร้างจังหวะการเล่าเรื่องแบบเฉพาะตัวค่อนข้างใช้ได้ มีโทนและมุมมองที่สะท้อนความเป็นผู้หญิงในสังคมการแข่งขันทางโซเชียลมีเดียได้ดี

ควินน์ เชพพาร์ด ออกแบบองค์ประกอบงานกำกับในหลาย ๆ มุมค่อนข้างน่าพอใจ แม้ว่าสเกลงานต่าง ๆ เห็นได้ชัดว่าไม่ได้มีเงินทุนเยอะ มีโทนความเป็นหนังจอเล็กหรือโปรดักชั่นพวกทีวีซีรีส์ปะปนมาอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นจุดที่ทำให้เสียอรรถรส ในขณะที่บทหนังของเธอ ก็ถือว่าค่อนข้างกล้าและใส่ความจัดจ้านมาได้หอมปากหอมคอ เท่าที่พื้นที่มีอย่างกำจัด โดยเฉพาะการขับเคลื่อนคาแรกเตอร์อย่าง แดนนี่ ออกมาเพียงลำพังเสียส่วนใหญ่

แม้ว่าตัวละครอย่าง แดนนี่ จะเป็นคาแรกเตอร์ที่ไม่ใช่คนดี แต่ก็ไม่ได้เลวจากหัวใจโดยแก่นแท้ เนื้อหาของหนังจึงพาไปสำรวจแนวคิดและสิ่งที่ขาดหายไปในชีวิตของเธอ พาไปดูว่าเหตุผลอะไรผู้หญิงคนนี้ถึงคิดทำเช่นนี้ มีภาวะอะไรที่ขับเคลื่อนตัวเธอกันแน่ และเธอต้องได้รับผลกระทบอย่างไรในท้ายที่สุด นับว่าเป็นการเก็บรายละเอียดในตัวละครของแดนนี่ค่อนข้างครบ แม้ว่าจะยังรู้สึกว่าใส่มาได้มากกว่านี้ได้อีก แต่ก็เข้าใจดีว่ามีเวลาให้กับจุดนั้นไม่ได้เยอะ

เพราะว่าไปเน้นและโฟกัสหลัก ๆ อยู่กับแดนนี่ ทำให้องค์ประกอบของตัวละครอื่น ๆ อาจจะไม่ได้รับความใส่ใจมากสักเท่าไหร่ และเป็นจุดที่น่าเสียดายไม่น้อยที่หนังไปได้ไม่ถึงในจุดนั้น ๆ ที่เหมาะสมที่จะขยายไปให้ถึง ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์กับโรแวน ที่ถือว่าเกือบจะไปได้สวยแล้ว แต่รายละเอียดต่าง ๆ ยังค่อนข้างผิวเผินไปนิด รวมทั้งกับตัวละครอื่น ๆ อย่าง โคลิน หรือ ฮาร์เปอร์ ดูเหมือนว่าหนังก็ใส่เข้ามาแบบเป็นส่วนประกอบเท่านั้นเอง

ขณะที่การแสดงของ “โซอี้ ดุตช์” ต้องยอมรับว่าเจิดจรัสในเรื่องนี้จริง ๆ เป็นการถ่ายทอดคาแรกเตอร์ที่ทำออกมาได้ทั้งน่ารังเกียจและน่าสงสารไปได้พร้อม ๆ กัน อีกอย่างบทบาทที่เธอได้นั้นก็ถือว่าค่อนข้างส่งเสริมกันได้เป็นอย่างดี ไม่จำเป็นต้องมาเป็นนางแบกให้กับหนังเรื่องนี้ เพราะเนื้อหาของบทหนังและโครงเรื่องได้ช่วยซัพพอร์ตทิศทางของเรื่องและความน่าติดตามได้ดีอยู่แล้ว แต่การแสดงของเธอก็ถือว่าทำออกมาได้น่าประทับใจในระดับหนึ่งทีเดียว

trueid

รีวิวหนัง/ซีรีส์

Leave a Comment

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *