ชื่อเรื่อง | Below Zero Netflix |
เรตติ้ง | 6.2 |
นักแสดง | Javier Gutiérrez, Karra Elejalde, Luis Callejo |
จำนวนตอน | 1.46 ชั่วโมง |
รีวิวหนัง Love and Monster
รีวิวหนัง Love and Monster ภาพยนตร์แนวแอ็คชั่นแฟนตาซีผจญภัยที่ตัวละครเอกเป็นพวกขี้แพ้ ปกติแล้วตัวละครเอกของภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องราวแนวแอ็คชั่นแฟนตาซีผจญภัย มักจะเป็นตัวละครที่มีความสามารถด้านใดด้านหนึ่งเป็นพิเศษจนโดดเด่นออกมา อย่างเช่นนักวิทยาศาสตร์ที่เต็มไปด้วยความรู้ นักผจญภัยที่เต็มไปด้วยประสบการณ์ หรือตำรวจทหารที่เต็มไปด้วยความสามารถในการต่อสู้ ถึงแม้ว่าจะเป็นคนธรรมดาทั่วไปแต่สุดท้ายแล้วบดก็จะทำให้คนคนนั้นมีความเก่งกล้าขึ้นมาเพื่อให้พวกเขาสามารถเอาตัวรอดในโลกที่เต็มไปด้วยอันตรายได้
แต่ก็มีภาพยนตร์บางเรื่องเช่นเดียวกันที่เป็นภาพยนตร์แนวแอ็คชั่นแฟนตาซีมีการผจญภัย ใช้ความสามารถที่หลากหลายในการเอาชีวิตรอดในโลกที่เต็มไปด้วยอันตราย แต่ตัวละครอีกที่เหล่านั้นดังเป็นพวกขี้แพ้ที่ไม่ได้มีความสามารถอะไรโดดเด่นแถมยังดูแล้วไร้ความหวังที่จะสามารถเอาชีวิตรอดได้อีกด้วย
การทำให้ตัวละครเอกนั้นเป็นคนธรรมดาทั่วไปหรืออาจจะมีความสามารถที่น้อยกว่าคนธรรมดาทั่วไปด้วยซ้ำไป ไม่ได้ทำให้เรื่องราวของภาพยนตร์นั้นมีความสนุกลดน้อยถอยลงไปแต่อย่างใด แต่มันกลับทำให้ผู้รับชมนั้นรู้สึกเอาใจช่วยตัวละครให้สามารถเอาชีวิตรอดออกไปได้มากขึ้นไปอีก
Love and Monster เป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์แนวแอ็คชั่นแฟนตาซีผจญภัยที่ใช้ตัวละครเอกเป็นชายหนุ่มธรรมดาพี่ไม่ได้มีความสามารถอะไรเป็นพิเศษ ไม่เพียงเท่านั้นเขาย่อมเป็นพวกขี้แพ้ที่ดูสิ้นไร้ไม้ตอกด้วย แต่ด้วยความที่ตัวละครเอกนั้นเป็นคนธรรมดาทั่วไปทำให้ความสมจริงของภาพยนตร์นั้นมีมากยิ่งขึ้น เพราะการทำให้ตัวละครเอกเป็นคนที่เก่งหรือมีความสามารถเป็นพิเศษนั้นการเอาตัวรอดก็จะเป็นเรื่องง่ายทำให้เมื่อเราเปรียบเทียบกับตัวเองที่เป็นคนธรรมดาแล้วภาพยนตร์ก็ดูไม่ได้มีความสมจริงมากมายนัก
แต่เมื่อเป็นคนธรรมดาทั่วไปพี่ไม่ได้มีความสามารถอะไรพิเศษเมื่อเทียบกับเราแล้วก็มีความสามารถอยู่ในระดับที่เท่าเทียมกัน จะทำให้เรารู้สึกอินไปกับเรื่องราวและความรู้สึกของตัวละครได้มากยิ่งขึ้น ไม่เพียงเท่านั้นยังช่วยให้ผู้รับชมรู้สึกได้ถึงความสมจริงเมื่อคนธรรมดาต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่อันตรายอีกด้วย
เรื่องราวในภาพยนตร์เรื่อง Love and Monster
Love and Monster จะเล่าถึงเรื่องราวของโลกที่กำลังจะถูกอุกกาบาตพุ่งเข้าชนในเวลาอันใกล้ ทางรัฐบาลจึงได้มีการออกคำสั่งให้ทหารยิงขีปนาวุธขึ้นไปเพื่อทำการทำลายอุกกาบาตลูกดังกล่าวก่อนที่มันจะพุ่งชนโลก ขีปนาวุธสามารถทำลายอุกกาบาตได้สำเร็จแต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือสะเก็ดดาวอุกาบาตสะเก็ดเล็กสะเก็ดน้อยนั้นได้ตกลงมายังพื้นโลก และมันก็ทำให้ระบบนิเวศของโลกใบนี้เปลี่ยนไปตลอดกาล
สัตว์ทุกตัวบนโลกใบนี้ล้วนแล้วแต่กลายร่างกลายเป็นสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ยักษ์ พวกมันบ้าคลั่งและออกไล่ล่ามนุษย์จนทำให้มีผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าวเหลือเพียงแค่ 10% บนโลกใบนี้เท่านั้น และหนึ่งในคนที่สามารถเอาชีวิตรอดได้จากเหตุการณ์สุดอันตรายนั้นก็คือชายหนุ่มที่มีชื่อว่าโจเอล
ทุกคนที่สามารถรอดชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าวได้นั้นต้องหลบไปอาศัยอยู่ในพื้นที่ใต้ดินที่เป็นโคโลนีร่วมกับผู้รอดชีวิตคนอื่น ทุกคนอาศัยอยู่ใต้พื้นดินอย่างปลอดภัยจนเวลาผ่านไปนานนับ 7 ปี โจเอลนั้นก็ได้รับการติดต่อผ่านวิทยุทางไกล คนที่ติดต่อมานั้นก็ไม่ใช่ใครแต่เป็นเอมี่ แฟนสาวที่ถูกพัดพรากจากกันตอนที่เกิดเหตุการสัตว์บุกเมือง
การติดต่อกลับมาของแฟนสาวทำให้เขาดีใจเป็นอย่างมากที่เธอยังมีชีวิตอยู่ เขาจึงตัดสินใจที่จะละทิ้งความปลอดภัยจากการอาศัยอยู่ใต้ดินขึ้นสู่พื้นโลกเพื่อเดินทางออกไปพบกับแฟนสาวให้สำเร็จ แต่มันก็ไม่ง่ายเช่นนั้นเพราะเธอนั้นอยู่ห่างไกลออกไปถึง 80 ไมล์ และพื้นที่ระหว่างทางนั้นก็เต็มไปด้วยอันตรายมากมาย
ตัวเขาที่ไม่ได้มีทักษะการต่อสู้และความสามารถที่เก่งกาจไปกว่าคนอื่นจึงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสามารถเดินทางไปหาเธอได้สำเร็จ ทำให้แม้แต่เขาเองและผู้คนในโคโลนีนั้นต่างเป็นห่วงว่าเขานั้นอาจจะไม่สามารถรอดชีวิตได้ แต่สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจที่จะออกเดินทางแม้ว่าหลังจากนั้นเพียงไม่กี่ชั่วโมงเขาก็แทบจะเอาชีวิตไม่รอดจากการถูกโจมตี
แต่โชคดีที่ระหว่างทางนั้นเธอได้พบเจอกับสุนัขที่ไม่ได้กลายร่างแถมยังแสนรู้เข้ามาช่วยเหลือและมันก็ทำให้เขานั้นได้พบกับนักผจญภัยที่สามารถเอาชีวิตรอดได้บนโลกที่สุดแสนจะโหดร้ายใบนี้ เขาจึงได้เรียนรู้วิธีการเอาตัวรอดบนพื้นโลกที่เต็มไปด้วยสัตว์ประหลาดกลายร่างจากคนทั้งสองและพยายามหาทางที่จะเดินทางไปพบกับแฟนสาวให้สำเร็จให้ได้
ความน่าสนใจของภาพยนตร์เรื่อง Love and Monster
Love and Monster เป็นภาพยนตร์แนวแอ็คชั่นผจญภัยแฟนตาซีที่มีการผสมผสานความสนุกสนานและความตลกตามแบบฉบับของภาพยนตร์แนวคอมเมดี้เข้ามาได้อย่างลงตัว ดังนั้นแม้ว่ามันจะเป็นภาพยนตร์ที่เล่าถึงเรื่องราวเกี่ยวกับโลกหลังล่มสลายแต่มันก็ไม่ได้มีบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความตึงเครียดและกดดันเมื่อเทียบกับภาพยนตร์เรื่องอื่น ทำให้มันกลายเป็นภาพยนตร์ที่สามารถรับชมได้ง่ายผ่อนคลายสมอง
ไม่เพียงเท่านั้นมันยังเป็นภาพยนตร์ที่สามารถให้บทเรียนกับผู้รับชมได้ทั้งในเรื่องของความพยายามและการทบทวนชีวิตที่ผ่านมาของตนเอง เป็นภาพยนตร์ที่ตอนจบจะทำให้เรานั้นได้รู้สึกอิ่มเอมไปทั้งหัวใจ หลังจากที่เราต้องช่วยลุ้นให้ตัวละครเอกสามารถผ่านจุดที่เต็มไปด้วยความยากลำบากและอุปสรรคไปได้
ตัวอย่างหนัง Love and Monster
รีวิว หนัง Love and Monster จาก beartai
เป็นหนังที่ตั้งชื่อได้สั้นแต่อธิบายเนื้อหาใจความของเรื่องราวได้ตรงเป๊ะ หนังจำลองเหตุการณ์ในโลกอนาคต เมื่อมีอุกกาบาตลึกลับมาตกลงบนโลกมนุษย์ ปัญหาคือเจ้าอุกกาบาตลูกนี้ดันพาเชื้อโรคมหาภัยมาด้วย ส่งผลให้สัตว์และแมลงกลายร่างเป็นอสุรกายตัวขนาดยักษ์กันไปทั่วโลก ภายในระยะเวลาไม่กี่ปี มนุษยชาติโดนฆ่าตายไปถึง 95% ส่วนที่เหลือรอดต้องหลบไปใช้ชีวิตในบังเกอร์ใต้ดิน พระเอกของเราคือ โจล เด็กหนุ่มวัย 17 ปีที่ต้องแยกจาก เอมมี่ แฟนสาว ที่รักกันดูดดื่ม ผ่านไป 7 ปี โจลสามารถติดต่อเอมมี่ได้ทางวิทยุสื่อสาร ทำให้รู้ตำแหน่งของบังเกอร์ของเอมมี่ว่าอยู่ห่างออกไป 136 กม. ด้วยความรักและคิดถึงเอมมี่มาก โจลตัดสินใจออกไปเสี่ยงชีวิตในโลกภายนอกเพียงคนเดียว ด้วยความตั้งใจจะดั้นด้นไปหาคนรักให้จงได้ ท่ามกลางเสียงคัดค้านของเพื่อน ๆ ร่วมบังเกอร์
ผลงานสร้างจากค่ายพาราเมาท์เรื่องนี้ เป็นอีกเรื่องที่โดนผลกระทบจากสถานการณ์โควิด – 19 อย่างชัดเจน เดิมทีหนังวางโปรแกรมออกฉายในโรงภาพยนตร์มาตั้งแต่ต้นปี ในวันที่ 6 มีนาคม 2020 ในช่วงที่ไวรัสกำลังแพร่ระบาดอย่างรุนแรง หนังขยับออกมาหน่อยเป็น 17 เมษายน 2020 แต่แล้วสถานการณ์ก็ยังไม่คลี่คลาย โรงหนังปิดกันทั้งสหรัฐฯ ว่าแล้วก็ขอขยับอีกรอบ ข้ามปีไป 12 กุมภา 2021 กันเลย สุดท้ายในเดือนสิงหาคม พาราเมาท์ก็ตัดสินใจเด็ดขาด ไม่ฉายโรงภาพยนตร์มันแล้ว ปล่อยฉายในระบบสตรีมมิงตามเทรนด์นิยมมันไปเสียเลย แล้วหนังก็ปล่อยให้เช่าดูเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2020 นี้เป็นวันแรก ในราคา 19.99 เหรียญ เงินไทยก็ประมาณ 624 บาท
แค่ฉายมาได้ 2 วัน หนังก็ได้รับเสียงตอบรับในทางดีครับ คะแนนใน Rottentomatoes อยู่ที่ 90% จากนักวิจารณ์ 29 คน ส่วน IMDB อยู่ที่ 7.2 จากจำนวนสมาชิกโหวตที่ 2,310 คน ทำให้ต้องมาย้อนดูเครดิตทีมงานสำคัญกันสักหน่อย ทั้งที่ชื่อผู้กำกับ ไมเคิล แมทธิว ก็ช่างไม่คุ้นหูเอาเสียเลย พี่แกเป็นผู้อำนวยการสร้างมา 4 เรื่อง กำกับหนังยาวมาแค่เรื่องเดียว แต่มีเครดิตสำคัญคือเคยผ่านงานเป็น ศิลปินฝ่ายวิชวลเอฟเฟกต์มาก่อน ก็เลยเข้าทางกับหนัง Love and Monsters ที่อุดมไปด้วยงานภาพวิชวลเอฟเฟกต์ ส่วนมือเขียนบทตกเป็นของ ไบรอัน ดัฟฟิลด์ และ แมทธิว โรบินสัน ที่พอดูเครดิตแล้วก็ต้องชื่นชมว่าเป็นการจับคู่ที่ลงตัวอย่างมาก เพราะ ไบรอัน ดัฟฟิลด์ นั่นเคยมีผลงาน Underwater หนังสัตว์ประหลาดใต้ทะเลสายดุที่เพิ่งออกฉายไปเมื่อต้นปี ส่วน แมทธิว โรบินสัน ก็เคยมีผลงาน Monster Trucks หนังสัตว์ประหลาดน่ารักเอาใจกลุ่มคนดูรุ่นเล็กเมื่อปี 2016 ประสบการณ์ของทั้ง 3 จึงนับว่าเป็นทีมงานที่ลงตัวสำหรับหนังสัตว์ประหลาดอารมณ์ดีในสไตล์หนังครอบครัวเรื่องนี้
เพราะว่าหนังมาในเรต PG-13 เป็นส่วนผสมของ ผจญภัย และ คอมมีดี้ บนพื้นฐานของเรื่องราวเลิฟสตอรี่ หนังก็เลยออกมาในแนวปลอดสารพิษ ดูกันได้ทั้งครอบครัว แต่ถ้าอ่านมาถึงตรงนี้แล้วคอแอ็กชันอาจจะร้อง ว้า! งั้นคงไม่มีฉากลุ้นระทึกตื่นเต้น ก็ต้องบอกกันว่า ก็ไม่ถึงขนาดนั้น หนังเดินเรื่องเร็ว ปูความกันตั้งแต่เครดิตต้นเรื่องผ่านเสียงบอกเล่าของ โจล พระเอกของเรื่อง ผ่านไปแค่ 20 นาที โจลก็ออกมาผจญภัยแล้ว เมื่อชื่อหนังมีคำว่า Monsters หนังก็จัดให้จุใจล่ะครับ สัตว์ประหลาดออกมาเพ่นพ่านให้เห็นกันหลายตัว มีการดีไซน์ที่ดี ดูออกว่าพื้นฐานมาจากตัวอะไร ดูมีพิษสงแล้วยังเจือความบริสุทธิ์ให้เห็นได้ในแววตา บางตัวก็มาสายโหดเลยล่ะ บางตัวก็มาแบบใส ๆ แต่ยังไงก็ไม่มีฉากฆ่ากันให้เห็นจะ ๆ แต่ทุกครั้งที่สัตว์ประหลาดออกมาก็มีฉากไล่ล่ากัน คนดูก็ต้องลุ้นให้โจลหนีรอดปลอดภัย ส่วนหนึ่งที่มีผลอย่างมากให้คนดูต้องเอาใจช่วยโจล ก็เพราะการปูพื้นหลังให้คนดูได้รู้ว่าเขาเป็นผู้ชายที่หน่อมแน้ม ตอนอยู่ในบังเกอร์ก็รับหน้าที่พ่อครัว ไม่เคยได้รับความไว้วางใจจากเพื่อนร่วมบังเกอร์ให้ออกไปพะบู๊เลยสักครั้ง พอวันที่เขาตัดสินใจขอลุยเดี่ยวออกมาเผชิญโลกภายนอก ก็มีแต่คนคิดว่าเขาไม่น่าจะมีชีวิตรอด และทุกครั้งที่มีสัตว์ประหลาดมา ก็มาแบบน่าตื่นเต้น เพราะค่อย ๆ โผล่ชิ้นส่วนเล็ก ๆ มาก่อน มีเสียงนำ ให้เราคอยลุ้นไปเดาไปว่าจะเป็นตัวอะไร
ดีแลน โอ’ไบรอัน พระเอกของเรื่องนี่เรียกได้ว่าหายหน้าไปเลย ตั้งแต่จบไตรภาค Maze Runner: The Death Cure ในปี 2018 มาเรื่องนี้ก็ยังได้รับบทที่ใกล้เคียง โธมัส ใน Maze Runner คือยังเป็นเรื่องราวในโลกอนาคตที่เต็มไปด้วยอันตราย แล้วเขาก็ยังต้องวิ่งหน้าตั้งหนีสัตว์ประหลาดเช่นเคย แม้ว่าหนังจะมีนักแสดงสมทบมากมาย แต่รายที่โดดเด่นและน่าจะได้รับการจดจำที่สุดจากเรื่องนี้กลับไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็น บอย หมาพันธุ์ ออสเตรเลียน เคลพี ที่เป็นเพื่อนร่วมผจญภัยกับโจลไปตลอดทาง แล้วบทก็เขียนให้เจ้าบอยนี่มีบทบาทอย่างมาก แถมมีส่วนสำคัญต่อพัฒนาการของโจลอีกด้วย แค่บทบอยนี้ ทีมงานต้องใช้หมาถึง 2 ตัวคือ ฮีโร และ ดอดจ์ สลับกันเข้าฉาก ส่วนดีแลน โอ’ไบรอัน ก็ต้องทำการบ้านอย่างมาก ด้วยการใช้เวลาฝึกกับหมา 2 ตัวนี้จนทั้งคู่รักและสนิทกับดีแลน ถึงขั้นว่าถ้าฉากไหนที่ฮีโรและดอดจ์ต้องแสดง แต่ดีแลนไม่ได้แสดงด้วย ดีแลนจะห้ามโผล่หน้าเข้ามาใกล้กองถ่ายเด็ดขาดไม่งั้นเจ้า 2 ตัวนี้จะวิ่งหาแต่ดีแลนแล้วก็ถ่ายทำกันไม่ได้สักที ส่วนนักแสดงที่มีชื่อเสียงก็เห็นมีเพียงแค่ ไมเคิล รูเกอร์ จาก Guardians of the Galaxy อีกรายเดียวเท่านั้น ที่โผล่มาเป็นสีสันช่วงกลางเรื่อง
นับว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่น่าเสียดาย ที่ไม่มีโอกาสได้ดูบนจอภาพยนตร์ เชื่อว่าถ้าดูบนจอใหญ่จะต้องได้อรรถรสมากว่านี้ เพราะเป็นหนังที่มีความหลากหลายทั้งอารมณ์ขัน ดราม่าซาบซึ้งพอควร ลุ้นระทึกไปกับบรรดาสัตว์ประหลาด ที่ผสมผสานกันได้ลงตัว หนังยังคงปัจจัยหนังครอบครัวไว้ได้ ด้วยการอดแทรกสาระที่พ่อแม่สามารถหยิบมาชี้นำบุตรหลานได้ในเรื่องความกล้าหาญ ความมั่นใจ ความรักในครอบครัว และการให้อภัย ไม่ใช่ว่าสัตว์ประหลาดที่เห็นจะดุร้ายไปเสียทุกตัว งานซีจีโดยรวมถือว่าเนี้ยบ ไม่มีฉากหยาบ ๆ ให้สะดุดตา มีงานขายภาพมุมกว้างบ่อยครั้ง ก็ถือว่าได้งานที่ออกมาคุ้มทุนสร้างที่ 28 ล้านเหรียญ ก็หวังว่าพาราเมาท์ตัดสินใจปล่อยลงสตรีมมิงแล้วจะได้ทุนคืนนะครับ วันนี้หนังลง NETFLIX เรียบร้อยแล้ว กดดูตามลิงก์ด้านล่างนี้ได้เลยครับ
beartai