ชื่อเรื่อง Below Zero Netflix
เรตติ้ง6.2
นักแสดง Javier GutiérrezKarra ElejaldeLuis Callejo
จำนวนตอน 1.46 ชั่วโมง

รีวิวหนัง Locked Down

รีวิวหนัง Locked Down เป็นภาพยนตร์เรื่องใหม่จากทางสตรีมมิงโก (HBO GO) ออริจินอลมาจาก HBO MAX แต่ที่ไทยเราไม่มี เรื่องราวของหนังคือการบอกเล่าความเป็นอยู่ของคู่สามีภรรยา ที่หมดไฟในการใช้ชีวิคู่ ซึ่งก็ได้นักแสดงชั้นนำอย่าง

จิวีเทล เอจิโอฟอร์ ประกบ ชื่อตัวละคร คือ แทคตัน กับนักแสดงสาวสวยที่มากไปด้วยฝีมือ แอนน์ แฮททาเวย์ ชื่อตัวละคร คือ รินดา พวดเขาทั้งสองนั้น มีหน้าที่การงานที่ต่างกันมาก และปัญหาอีกหลายอย่างระหว่างที่อยู่ด้วยกัน

นางเอกเธอมีอาชีพเป็นถึง CEO บริษัทจิวเวอร์รี่ หน้าที่การงานของเธอค่อนข้างมาแรงเลยทีเดียว ผิดกับพระเอก อย่างแทคตัน เขาเป็นพนักงานส่งของ แถมตอนนี้ก็ตอนนี้เจ้านายจ้องจะไล่ออกอีกด้วย เพราะเขาไปมีเรื่องกับลูกค้า เวลาพวกเขาทั้งสองคนอยู่ด้วยกัน จำเป็นต้องทะเลาะกันทุกครั้ง ไม่มีวันไหนที่จะไม่ทะเลาะกันเลย ทำให้รินดา ผู้เป็นภรรยาทนไม่ไหว จึงขอหย่า

แต่ด้วยสถานการณ์โลกในปัจจุบัน ที่เกิดวิกฤตการณ์โรคโควิดระบาด ก็ทำให้พวกเขาทั้งสองยังไม่สามารถหย่ากันได้ เพราะต้องอยู่แต่บ้าน จึงทำให้ได้พูดคุยกันมากขึ้น ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ เริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ อยู่มาวันหนึ่งเจ้านายของพระเอกก็โทรมาหาเขา บอกให้เขาไปส่งของเพื่อเป็นการแก้ตัว ซึ่งของที่ว่านั้นก็คือ เพชร ที่แพงมหาศาล จากห้างสรรพสินค้า

และบังเอิญตรงที่เพชรชิ้นนี้ เป็นเพรชที่บริษัทรินดาเป็นคนทำอยู่ เมื่อรินดารู้ว่าสามีของเธอ ต้องไปขนเพชร เธอจึงทำการวางแผนที่จะปล้นเพชรเม็ดนั้นมาให้ได้ ซึ่งทั้งหมดที่นำเสนอนี้ เป็นเพียงเนื้อเรื่องย่อ ๆ ที่เรานำมาเล่าให้เห็นภาพเฉย ๆ คุณสามารถไปดูได้ที่ HBO GO ได้เลย

ความรู้สึกส่วนตัวเมื่อดูจบ เป็นหนังเรื่องแรก ที่มีการถ่ายทำออกมา ตั้งแต่เกิดสถานการณ์โควิด ทำให้เราได้สัมผัสกับบรรยากาศที่เหมือนกับสถานการณ์โลกของเราในปัจจุบันจริง ๆ เลย ดูแล้วรู้สึกหดหู่ใจ ไม่น่าเชื่อเลยว่าทั้งหมดจะเป็นเรื่องจริง ที่ชอบมากที่สุดคือ นักแสดงของหนัง รวมไปถึงนักแสดงรับเชิญที่มากฝีมือ

ซึ่งหนังไม่ได้สร้างมาเพื่อความบันเทิงเท่านั้น แต่ยังทำให้เรารู้สึกว่าในความโชคร้ายต่าง ๆ ที่เจออยู่นั้น ก็อาจจะมีเรื่องดี ๆ ที่เรามองข้ามไป ทำให้เรารู้สึกว่าควรมีสติ และใส่ใจคนรอบข้างดูบ้าง

และที่สำคัญหนังเรื่องนี้ถือเป็นหนังที่บันทึกประวัติศาสตร์ของโลกได้อย่างดี และก็จบไปแล้วกับการรีวิวหนังวันนี้ ถ้าเพื่อน ๆ สนใจ รวม ๆ สนุกดีค่ะ แต่อาจก็มีฉากที่ทำให้เราง่วงอยู่บ้าง ถ้าอยากรู้ ก็ตามไปดูกันเลย

ตัวอย่างหนัง Locked Down

รีวิว หนัง Locked Down จาก Beartai

หนังลงสตรีมมิงทาง HBO Max ทั่วโลก (ส่วนในบ้านเราเป็น HBO Go) ก่อนเข้าฉายในอังกฤษประเทศบ้านเกิดในเดือนมีนาคมนี้เสียอีกสำหรับ Locked Down หนังที่มีทีมนักแสดงและทีมสร้างน่าสนใจสุด ๆ

ไล่ไปตั้งแต่ 2 ดารานำทั้ง จิวีเทล เอจิโอฟอร์ ที่เคยเข้าชิงออสการ์นักแสดงนำชายจาก 12 Years a Slave (2013) แต่บ้านเราน่าจะคุ้นหน้าจากบท มอร์ดอ คู่ปรับร่วมสำนักของหมอแปลก Doctor Strange (2016) มากกว่า ประกบกับนักแสดงสาวมากฝีมือขวัญใจผู้ชมอย่าง แอนน์ แฮททาเวย์ เจ้าของออสการ์นักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมจาก Les Misérables (2012)

ซึ่งตอนแรกดูเหมือนเคมีไม่น่าจะเข้ากันได้ดีนัก เพราะเราไม่ค่อยเห็นเอจิโอฟอร์ที่มักเล่นใบหน้าเคร่งเครียดมาเล่นหนังกุ๊กกิ๊ก แต่ด้วยความมืออาชีพของทั้งคู่มันก็ไปลงตัวกันได้ ถึงโมเมนต์น่ารักอาจไม่เด่น แต่โมเมนต์อดีตคู่รักที่กลายเป็นคู่กัดกันนี่โคตรได้

นอกจากนี้หนังยังได้ดารารับเชิญดัง ๆ มาแจมผ่านเฟซไทม์ และซูม เข้าสถานการณ์โควิด-19 อีกมากมาย ที่น่าดีใจเลยคือมีลุง เบน คิงสลีย์ และ เบน สติลเลอร์ มาเป็นเซอร์ไพรส์ของหนังที่ดูเป็นธรรมชาติมาก ๆ แล้วก็น้องหนูโชแชงแห่งหนังแฮรี่ พอตเตอร์ หรือ เคที เหลียง มาโผล่ให้เกือบจำไม่ได้ด้วย

แต่ที่น่ารักสุดคงเป็นเจ้าเม่นที่โผล่มาในตอนต้นของหนังแล้วถูกพูดถึงเรื่อย ๆ ตลอดเรื่อง ที่ด้านเครดิตนักแสดงยังให้ชื่อว่า เจ้าโซนิก เสียด้วย เป็นกิมมิกชวนยิ้มไม่น้อยเลย

หนังยังเป็นผลงานการกำกับในแนวโรแมนติกดราม่าคอมเมดีของผู้กำกับ ดั๊ก ไลแมน แห่ง The Bourne Identity (2002) นับตั้งแต่ไปขลุกทำหนังกับป๋า ทอม ครุยส์ อยู่ถึง 2 เรื่อง คือ Edge of Tomorrow (2014) และ American Made (2017)

และสำหรับเรื่องนี้ที่ใกล้เคียงสุดน่าจะพูดได้ว่าคล้ายงานเดิมของไลแมนอย่าง Mr. & Mrs. Smith (2005) ที่สุด เพียงแต่ลดความเว่อให้กลายเป็นรอยยิ้มแบบชาวบ้าน ๆ ใต้ข้อจำกัดของการถ่ายหนังในช่วงโควิดได้นั่นเอง เพราะนอกจากเรื่องทั้งรักทั้งชังกันไปมาของคู่รักแล้ว หนังยังต่อเรื่องราวกลายเป็นหนังปล้นสุดอลวนได้เฉยเลยด้วย คือหาจุดขายมัน ๆ จนได้สิน่า

งานนี้ยังต้องชมงานเขียนบทของ สตีเฟน ไนท์ มือเขียนบทรุ่นเก๋าที่เคยมีชื่อเข้าชิงออสการ์สาขาบทยอดเยี่ยมจาก Dirty Pretty Things (2002) มาแล้ว ในหนังเรื่องนี้คงเป็นหนังรักระหองระแหงธรรมดาไปเลย ถ้าขาดการหยอดรายละเอียดมากมายให้น่าติดตาม

ไม่ว่าจะมุกกุ๊กกิ๊กน่ารักที่เราคุ้นเคยจากหนังรักสไตล์อังกฤษ ตลอดจนสถานการณ์ชวนปวดหัวที่ชวนขำและเอาใจช่วยตัวละครไปพร้อมกัน ว่าสุดท้ายคู่นี้จะรักหรือจะเลิกดีล่ะ ใครชอบหนังรักสไตล์อังกฤษอย่าง Notting Hill (1999) หรือ Love Actually (2003)

ก็ถือว่าเรื่องนี้พอแก้ขัดได้ดีพอสมควรเลย และคงต้องพูดว่าท่ามกลางความตะกุกตะกักของการเล่าที่เห็นได้ว่าเป็นผลพวงหนึ่งจากการถ่ายทำภายใต้การล็อกดาวน์ในอังกฤษ มันจึงกลายเป็นว่าหนังบันทึกช่วงเวลาประวัติศาสตร์ที่คนทั้งโลกต้องเผชิญผ่านทั้งเรื่องราวในหนังเองที่ตัวละครต้องอยู่แต่ในบ้าน คุยกันผ่านทางหน้าจอ เริ่มลองปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านทั้งที่ไม่เคยสนใจมาก่อน การต่อคิวแบบเว้นระยะห่างเพื่อซื้อของ

การใส่หน้ากากผ้ากลายเป็นเรื่องที่ต้องกระทำ และการคุยเรื่องประกันสุขภาพถ้วนหน้าก็เป็นเรื่องที่รัฐบาลทุกประเทศควรคิดอย่างจริงจัง หนังก็ยังบันทึกประวัติศาสตร์ทางอ้อมผ่านความไม่ราบรื่นของโพรดักชันที่เราจะสัมผัสได้ว่าไม่ลื่นเหมือนเคย และการจงใจใช้เฟซไทม์บ้าง ซูมบ้าง ก็เป็นการหยอดเพื่อแก้ปัญหาของตัวเองด้วย

ซึ่งเมื่อเราดูมันหนังมันจึงไม่ใช่เพียงความบันเทิงที่ได้รับ แต่เป็นพลังในการสู้กับชีวิตวันรุ่งขึ้นต่อไป ว่าถึงจะตะกุกตะกักบ้าง โดนสั่งหยุดบ้างคงไม่ต่างจากเรา ๆ ท่าน ๆ แต่ดูสิทีมนักแสดงและทีมงานกองหนึ่ง เขายังทำหนังทั้งเรื่องออกมาให้เราได้ยิ้มได้อิ่มเอมใจอยู่ตอนนี้ได้เลยนะ

Beartai

Leave a Comment

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *