ชื่อเรื่อง Below Zero Netflix
เรตติ้ง6.2
นักแสดง Javier GutiérrezKarra ElejaldeLuis Callejo
จำนวนตอน 1.46 ชั่วโมง

รีวิวหนัง Judas and the Black Messiah

รีวิวหนัง Judas and the Black Messiah เมื่อความเท่าเทียมกันของมนุษย์ยังคงเป็นเพียงแค่โลกในความฝัน มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความแตกต่างแต่น่าขันที่พวกเรานั้นกลับเหยียดหยามคนที่มีความแตกต่างกับเรา ทั้งที่พวกเขานั้นก็เป็นมนุษย์เหมือนกันกับเรา พฤติกรรมเหล่านี้เป็นพฤติกรรมที่แม้แต่ในสัตว์ป่าก็ยังไม่มีด้วยซ้ำไป เราไม่เคยเห็นสุนัขต่างสายพันธุ์ทำท่าทีรังเกียจรังงอนสุนัขอีกสายพันธุ์ที่ไม่ได้มีรูปร่างหน้าตาเหมือนมันด้วยซ้ำไป

ด้วยเหตุนี้หลายประเทศจึงได้มีการพยายามยกระดับความเท่าเทียมกันของมนุษย์ในประเทศของตนเอง เพื่อลดการเหยียดหยามและการปฏิบัติอย่างไม่เหมาะสมกับบุคคลที่มีความแตกต่างทางเชื้อชาติและลักษณะทางกายภาพภายนอก แต่อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะพยายามแค่ไหนสุดท้ายแล้วก็ยังมีบางคนที่มองว่าตนเองนั้นสูงส่งด้วยชาติพันธุ์และลักษณะทางกายภาพจนทำให้มีสิทธิ์มีเสียงที่จะเหยียดคนอื่นได้

ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าเรื่องเหล่านี้ในต่างประเทศโดยเฉพาะในประเทศแถบยุโรปและอเมริกานั้นค่อนข้างรุนแรงเป็นอย่างมากกับการเหยียดคนผิวสีของกลุ่มคนผิวขาว คนผิวสีนั้นถูกปฏิเสธไม่ให้สามารถเข้าถึงสิ่งต่างๆ ได้ตั้งแต่ในอดีต แม้แต่ในปัจจุบันที่กฎหมายมีการคุ้มครองเรื่องการเหยียดเชื้อชาติและสีผิวแล้ วแต่ก็ยังมีชาวผิวขาวบางคนที่ยังคงยึดมั่นว่าชาวผิวขาวหรือชาวอารยันนั้นเป็นชนชั้นที่สูงส่งที่สุดในโลกใบนี้

ด้วยเหตุนี้ทำให้ชาวผิวสีที่อาศัยอยู่ในยุโรปและอเมริกานั้นจำเป็นจะต้องลุกขึ้นมาเพื่อเรียกร้องสิทธิเสรีภาพในฐานะมนุษย์ที่เท่าเทียมกันเพื่อให้สามารถเข้าถึงสิทธิประโยชน์และความสะดวกสบายเช่นเดียวกับที่ชาวผิวขาวได้รับ แต่น่าเสียดายที่บางครั้งเหตุการณ์เหล่านี้ก็ทวีความรุนแรงขึ้นมาจนทำให้ประเด็นเรื่องการเรียกร้องความเท่าเทียมกันนั้นถูกลงไป

Judas and the Black Messiah เป็นเรื่องราวการต่อสู้ของชาวผิวสีที่เรียกร้องความเท่าเทียมกันให้กับคนผิวสีด้วยกัน ภาพยนตร์เรื่องนี้จึงเต็มไปด้วยเรื่องราวเกี่ยวกับทัศนคติ อุดมคติ อำนาจ การเมือง รวมไปถึงการทรยศ มีการเล่าถึงระบบที่สนับสนุนความไม่เท่าเทียมกัน การลุกขึ้นมาต่อสู้ในฐานะของมนุษย์ ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ที่สร้างมาจากเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์ และสามารถทำได้ยอดเยี่ยมจนได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์อีกด้วย

เรื่องราวในภาพยนตร์เรื่อง Judas and the Black Messiah

Judas and the Black Messiah เล่าถึงเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นจริงในปี 1968 เมื่อเฟรด แฮมป์ตันชายหนุ่มผู้เต็มไปด้วยอุดมการณ์ได้ก้าวขึ้นสู่การเป็นหัวหน้า Black Panther เขานั้นมีจุดประสงค์ที่จะแสวงหาความเป็นธรรม อิสรภาพ และการหยุดยั้งกฎหมายที่ก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมต่อคนผิวสี ทำให้ขาวนั้นกลายเป็นที่จับตามองของหน่วยงานต่างๆในสหรัฐอเมริกาไม่เว้นแม้กระทั่งหน่วยข่าวกรอง

อุดมการณ์ในการปลดปล่อยชาวผิวสีขาวนั้นทำให้ชาวผิวสีต่างลุกขึ้นมาและให้การสนับสนุนเขาอย่างเต็มที่จนมันสร้างความมั่นใจให้กับหน่วยงานรัฐบาลเข้าเพราะมองว่านี่เป็นการเคลื่อนไหวที่อาจจะก่อให้เกิดความรุนแรงและความขัดแย้งครั้งใหญ่ตามมา ด้วยเหตุนี้ทั้งหน่วยงาน fbi และตำรวจในชิคาโกจึงได้รับมอบหมายให้ทำภารกิจในการหยุดยั้งการปฏิวัติและทำให้อำนาจของเฟรดดับลงไป

พวกเขาได้ยื่นข้อเสนอให้กับนักโทษชาวผิวสีที่มีชื่อว่าวิลเลี่ยม ให้แทรกแซงเข้าไปในปาร์ตี้ illinois Black Panther พร้อมทั้ง แทรกแซงเข้าไปอยู่ภายในพรรค ปั่นหัวผู้คนภายในให้เกิดความขัดแย้งกันเอง และที่สำคัญคือการส่งข่าวให้กับหน่วยงาน fbi ในขณะเดียวกันทางรัฐบาลสหรัฐนั้นก็คอยปล่อยข่าวฉาวออกมาเพื่อโจมตีให้พักดังกล่าวมีความศรัทธาน้อยลงทุกวัน

เหตุการณ์เหล่านี้กลายเป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ในอเมริกาที่ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์การเมือง แต่อย่างที่เฟรดได้กล่าวไว้ ว่าคุณสามารถฆ่านักปฏิวัติได้ แต่คุณนั้นจะไม่สามารถค่าการปฏิวัติได้ หนทางการปฏิวัติสู่ความเท่าเทียมกันของมนุษย์จึงยังคงดำเนินต่อไปไม่ว่าจะทั้งในส่วนของชาติหรือสีผิวก็ตาม 

Judas and the Black Messiah ภาพยนตร์ที่ทั้งสะท้อนและเสียดสีให้เห็นถึงการเหยียดผู้คนที่แตกต่าง

แม้ว่าผู้คนต่างก็ตระหนักถึงความสำคัญในการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันกับมนุษย์ทุกเชื้อชาติและทุกสีผิวบนโลกใบนี้ แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่าผู้ที่มีอำนาจนั้นก็มีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้เกิดความเท่าเทียมกันในประเทศ Judas and the Black Messiah เป็นภาพยนตร์ที่แสดงให้เห็นได้ชัดถึงการพยายามขัดขวางความพยายามที่คนผิวสีจะลุกขึ้นมาปฏิวัติเพื่อเรียกร้องความเท่าเทียมโดยรัฐบาลสหรัฐอเมริกาที่เล่นใหญ่ถึงขั้นให้ fbi เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง

ตามประโยคเด็ดที่เฟรดกล่าวไว้ว่าคุณสามารถฆ่านักปฏิวัติได้แต่คุณไม่สามารถคาดการณ์ปฏิวัติลงได้นั้นเห็นที่จะเป็นเรื่องจริงเพราะในปัจจุบันนี้ในสหรัฐอเมริกานั้นก็มีการพยายามผลักดันความเท่าเทียมกันของผู้คนต่างเชื้อชาติและต่างสีผิวเรียบร้อยแล้ว ไม่เพียงเท่านั้นข้อกฎหมายที่ทำให้ความแตกต่างของสีผิวนั้นเข้ามามีบทบาทก็ดูเหมือนว่าจะลดน้อยลงไป 

แต่ก็คงไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าการเหยียดสีผิวหรือการเหยียดเชื้อชาติในสหรัฐอเมริกานั้นจะหมดไป เพราะเมื่อไม่นานมานี้ก็ได้มีเหตุการณ์ที่ตำรวจลงมือประดิษฐ์ชีวิตผู้ต้องสงสัยผิวสีอย่างไม่ได้ตั้งใจจากการจับกุมที่เต็มไปด้วยความรุนแรง จนทำให้มีการเรียกร้องออกมาเป็นแคมเปญ Black lives matter แต่อย่างไรก็ตามเรายังจะคงเห็นการปฏิบัติอย่างไม่เท่าเทียมกันไม่เว้นแม้แต่คนผิวสี แม้แต่คนเอเชียเองก็ตามก็โดนปฏิบัติอย่างไม่เท่าเทียมกันเช่นเดียวกัน

ตัวอย่างหนัง Judas and the Black Messiah

รีวิว หนัง Judas and the Black Messiah จาก Thestandard

พวกเขาไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย แค่ออกไปบนถนน พูดถึงการตายเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศ”

Judas and the Black Messiah นับเป็นภาพยนตร์น้ำดีอีกหนึ่งเรื่องที่ถูกยกให้เป็นตัวเต็งบนเวทีประกาศรางวัลออสการ์ครั้งที่ 93 โดยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลถึง 5 สาขา ได้แก่ นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม (แดเนียล คาลูยา และลาคีธ สแตนฟิลด์), เพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, บทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม, ถ่ายภาพยอดเยี่ยม และรางวัลใหญ่ของงานอย่าง ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม โดยคอภาพยนตร์สายรางวัลจะได้รับชมพร้อมกันในวันที่ 22 เมษายนนี้ในโรงภาพยนตร์

ภาพยนตร์นำเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงของ วิลเลียม โอนีล (ลาคีธ สแตนฟิลด์) ชายหนุ่มผิวสีที่ยอมร่วมมือกับผู้อำนวยการหน่วย FBI เจ.เอ็ดการ์ ฮูเวอร์ (มาร์ติน ชีน) ในการสวมรอยเข้าไปเป็นหนึ่งในสมาชิก Black Panther Party (BPP) องค์กรที่คอยขับเคลื่อนสิทธิและเสรีภาพของคนผิวสีในอเมริกา ซึ่งมีบทบาทอย่างมากในช่วงปี 1966-1982 เพื่อจับตาดู เฟรด แฮมป์ตัน (แดเนียล คาลูยา) ประธานองค์กร Black Panther Party ประจำรัฐอิลลินอยส์ และร่วมวางแผนลอบสังหารเฟรดที่เกิดขึ้นในวันที่ 4 ธันวาคม 1969 ซึ่ง ณ เวลานั้นเฟรดมีอายุเพียง 21 ปีเท่านั้น

แม้ว่า Judas and the Black Messiah จะเป็นผลงานการกำกับภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องแรกของ ชากา คิง แต่ภาพยนตร์ก็ได้ ไรอัน คูกเลอร์ ผู้กำกับและโปรดิวเซอร์ฝีมือเยี่ยมผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ Black Panther (2018) มารับหน้าที่โปรดิวเซอร์ร่วมกับ ชาร์ลส ดี. คิง จากภาพยนตร์ Fences (2016)

ที่สำคัญภาพยยนตร์เต็มไปด้วยนักแสดงคุณภาพ ทั้ง แดเนียล คาลูยา จาก Get Out (2017) ซึ่งเขาเคยร่วมงานกับไรอัน คูกเลอร์มาแล้วใน Black Panther (2018) และ ลาคีธ สแตนฟีลด์ จาก Knives Out (2019) แถมตอนนี้ทั้งคู่ก็ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ในสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมไปเรียบร้อยแล้ว  

Judas and the Black Messiah มีกำหนดเข้าฉายอย่างเป็นทางการวันที่ 22 เมษายน ในโรงภาพยนตร์ ซึ่งเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าตัวเลขของผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่กลับมาระบาดอีกครั้งจะค่อยๆ ดีขึ้นในเร็ววัน เพื่อให้ภาพยนตร์น้ำดีเรื่องนี้ไม่ถูกเลื่อนกำหนดการฉายออกไป

Thestandard

Leave a Comment

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *