ชื่อเรื่อง | In Time |
เรตติ้ง | 6.7 |
นักแสดง | Justin Timberlake,Olivia Wilde,Amanda Seyfried |
จำนวนตอน | 1.49 ชั่วโมง |
รีวิวหนัง In Time Netflix
รีวิวหนัง In Time Netflix ภาพยนตร์ที่สามารถสะท้อนความเหลื่อมล้ำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม โลกใบนี้ไม่อาจหลีกเลี่ยงความเหลื่อมล้ำได้ ระบบเศรษฐกิจนั้นเลือกอำนวยให้คนบางกลุ่มได้มีอำนาจและได้มีชีวิตที่ดีเพียงเท่านั้น ในขณะที่อีกหลายคนต้องปากกัดตีนถีบในการเอาชีวิตรอด หากวันไหนพวกเขาไม่สำเร็จสิ่งที่พวกเขาจะได้รับก็คือความตาย มันทำให้เราไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าการที่เรามีเงินบนโลกใบนี้จะสามารถยืดอายุของเราออกไปได้ แต่หากคุณไม่มีเงินคุณก็จะต้องยอมรับความตายอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงเช่นเดียวกัน
แต่จะเป็นอย่างไรหากโลกนี้เงินไม่ใช่สิ่งที่มีค่าอีกต่อไปแต่เป็นเวลาต่างหาก In Time เป็นภาพยนตร์ที่จะเล่าถึงเรื่องราวความสําคัญของเวลาและสามารถสะท้อนความเหลื่อมล้ำในสังคมออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม เป็นภาพยนตร์อีกหนึ่งเรื่องที่สามารถจิกกัดสังคมได้อย่างแนบเนียนไม่มีที่ติ และมันยังสามารถทำให้เราเห็นได้อย่างชัดเจนอีกด้วยว่าความเหลื่อมล้ำในสังคมนั้นส่งผลต่อชีวิตของคนแต่ละชนชั้นอย่างไรบ้าง
สำหรับใครที่ชอบภาพยนต์แนวจิกกัดสังคมและสะท้อนสังคมเราขอแนะนำภาพยนตร์เรื่องนี้เลย รับรองว่าหลังรับชมคุณจะได้ตีความและได้การขบคิดกลับไปมากมาย และที่สำคัญคือมันยังเป็นภาพยนตร์ที่เต็มไปด้วยความสนุกสนานและความลุ้นระทึกอีกด้วย เพราะมันเป็นการเล่าถึงเรื่องราวการเอาคืนของคนจนกับคนรวยที่ทำได้อย่างเจ็บแสบแถมยังเต็มไปด้วยไหวพริบ
เรื่องราวในภาพยนตร์เรื่อง In Time
In Time จะเล่าถึงเรื่องราวโลกมนุษย์ในอนาคตที่เทคโนโลยีได้เจริญก้าวหน้าจนมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย แต่เงินกลับไม่ใช่สิ่งสำคัญในโลกยุคนั้นอีกต่อไป สิ่งที่สำคัญมากที่สุดกลับกลายเป็นเวลา นอกจากมันจะเป็นตัวกำหนดว่าคุณจะมีชีวิตไปได้อีกนานเท่าไหร่แล้วเรายังสามารถใช้มันในการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันได้อีกด้วย
มนุษย์ที่เกิดมาในยุคนี้จะเติบโตจนอายุหยุดเพียงแค่ 25 ปีเท่านั้น หลังจากนั้นร่างกายของเราจะคงเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่แก่ชรา ไม่มีปัญหาด้านสุขภาพที่มาพร้อมกับอายุ แต่มันก็ต้องแลกมากับเวลาชีวิตซึ่งเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนในการซื้อขายของในชีวิตประจำวัน เมื่อเราอายุครบ 25 ปีเราก็จะมีระยะเวลาในการใช้จ่ายจำนวน 25 ปีเท่านั้น สำหรับคนรวยในโลกนี้เมื่ออายุครบ 25 ปีอาจจะได้รับของขวัญเป็นเวลานับร้อยปีหรือพันปีก็เป็นได้ แต่สำหรับใครที่เป็นคนยากจนก็จะมีเจ้าหนี้มาคอยทวงเวลากับคุณ ซึ่งนั่นหมายความว่าเวลาที่คุณจะได้ใช้ชีวิตในโลกใบนี้จะลดน้อยลงไปอีกเวลาจะถูกระบุข้อมูลเอาไว้บนข้อมือ มันจึงง่ายเป็นอย่างมากที่เราจะดูว่าใครเป็นคนจนหรือคนรวย
ภาพยนตร์จะเล่าผ่านตัวละครชายหนุ่มที่มีชื่อว่าวิล เขาเป็นคนยากจนที่อาศัยอยู่ในชุมชนแออัดกับแม่เพียงแค่สองคนเท่านั้น คนในชุมชนแห่งนี้ใช้ชีวิตกันแบบวันต่อวัน วันไหนไม่ทำงานก็จะไม่ได้รับเวลาเป็นค่าจ้างและต้องเสียชีวิตลงไปในที่สุด สองแม่ลูกจึงต้องทำงานหนักเพื่อให้ได้เวลาชีวิตมา แต่พวกเขานั้นก็ไม่เคยได้เห็นเวลาไกลกว่า 24 ชั่วโมงหน้าแม้แต่ครั้งเดียว และสุดท้ายเงื่อนไขดังกล่าวก็พรากเวลาชีวิตแม่ของเขาไปในที่สุด
มีอยู่วันหนึ่งมีเศรษฐีที่มีเวลายืนยาวนับร้อยปีหลงเข้ามาในชุมชนของเขา เศรษฐีผู้นี้เปรียบเสมือนกับเหยื่ออันโอชะของโจรในละแวกนั้น แต่โชคดีที่เขาได้รับการช่วยเหลือวิล แต่หลังจากที่เขาตื่นขึ้นมาเขาก็พบว่าเศรษฐีคนนั้นได้ทำการเอาเวลาทั้งหมดให้เขาแล้วตัวเองก็ตายลงไป
แม้ว่าจะมีเวลามากแค่ไหนก็ตามสุดท้ายเขาก็ไม่อยากช่วยเหลือแม่ของตัวเองเอาไว้ได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้เดินทางออกจากชุมชนของตัวเองไปยังเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยกลุ่มคนรวย เขาต้องการที่จะก่อเหตุอาชญากรรมปล้นเวลามาจากเศรษฐีหน้าเลือดเพื่อแจกจ่ายให้กับเหล่าคนจนที่ต้องใช้ชีวิตแบบวันต่อวัน เขาจะสามารถทำสำเร็จหรือไม่ต้องติดตามรับชมกันในภาพยนตร์
ความรู้สึกหลังรับชมภาพยนตร์เรื่อง In Time
In Time เป็นภาพยนตร์ที่เปลี่ยนหน่วยแลกเปลี่ยนสินค้าจากเงินให้เป็นเวลาแทน ซึ่งต้องยอมรับเลยว่ามันเป็นการจิกกัดสังคมที่แนบเนียนเป็นอย่างมาก ในชีวิตจริงของคนเรานั้นหากคุณมีเงินมากพอก็สามารถยืดอายุออกไปได้ด้วยการซื้อการรักษาพยาบาลที่ดี ซื้อการดูแลสุขภาพ สำหรับใครที่มีเงินไม่มากพอก็ต้องทุ่มเทร่างกายในการทำงานอย่างหนักจนเจ็บป่วยแต่ก็ยังไม่สามารถเข้าถึงการรักษาที่ดีได้ ไม่มีแม้กระทั่งเวลาในการดูแลสุขภาพด้วยซ้ำไป
เป็นการสะท้อนให้เราเห็นอย่างชัดเจนเลยทีเดียวว่าความแตกต่างระหว่างชนชั้นนั้นก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำไปจนถึงการมีชีวิตอยู่ ไม่เพียงเท่านั้นมันยังสะท้อนถึงระบบการทำงานของรัฐอีกด้วยเนื่องจากจะมีคนทำงานที่เรียกว่าผู้รักษาเวลา เป็นคนที่จะคอยจับคนที่ขโมยเวลานั่นเอง แต่เวลาเหตุการณ์ขโมยเหล่านี้เกิดขึ้นกับคนจนเหล่าผู้รักษาเวลาก็ไม่ได้สนใจอะไร แต่พอคนรวยถูกปล้นเท่านั้นผู้รักษาเวลาจะทำงานอย่างเต็มที่
ไม่เพียงเท่านั้นภาพยนตร์ยังมีการผสมผสานระหว่างแนวอาชญากรเข้ากับโรแมนติกได้เป็นอย่างดี เราจะเห็นว่าแม้ตัวละครพระเอกของเราจะเป็นคนจนแต่เขาก็มีความฉลาดหลักแหลมและมีไหวพริบไม่น้อยเลยทีเดียว ไม่เพียงเท่านั้นเขายังมีความสามารถในการโน้มน้าวให้ลูกสาวของเศรษฐีที่เขาต้องการจะไปปล้นมาร่วมมือกับเขาได้อีกด้วย