ชื่อเรื่อง | FATHER STU |
เรตติ้ง | 6.5 |
นักแสดง | Mark Wahlberg |
จำนวนตอน | 2.04 ชั่วโมง |
รีวิวหนัง FATHER STU
รีวิวหนัง FATHER STU จากนักมวยที่มีปัญหาสุขภาพสู่การเป็นบาทหลวง ภาพยนตร์แนวดราม่าอาจจะไม่ใช่ภาพยนตร์ที่ได้รับความนิยมสักเท่าไหร่ เนื่องจากปกติแล้วมนุษย์มักรับชมสื่อบันเทิงเพื่อสร้างความเพลิดเพลินใจให้กับตัวเองแต่ความร้อนมากหนักหน่วงของภาพยนตร์แนวดราม่านั้นไม่ได้ตอบโจทย์ในส่วนนี้แต่อย่างใด ถึงอย่างไรก็ตามก็ยังคงมีผู้ชมบางส่วนที่ชื่นชอบเช่นเดียวกันเพราะภาพยนตร์แนวนี้มักสอดแทรกอะไรเข้ามาให้เราได้คิดมากมาย อย่างเช่นภาพยนตร์ที่เราจะมาแนะนำกันในวันนี้ก็คือ FATHER STU
มันเป็นภาพยนตร์แนวดราม่าที่สอดแทรกความศรัทธาและการเปลี่ยนแปลงชีวิต รวมไปถึงการค้นหาความหมายที่แท้จริงของชีวิตอีกด้วย ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเรื่องจริงของบาทหลวงผู้หนึ่งที่มีความศรัทธาในศาสนาคริสต์และเขาก็สามารถสร้างความศรัทธาให้เกิดขึ้นในผู้คนได้เป็นจำนวนมาก และที่น่าสนใจไปมากกว่านั้นก็คือภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับและเขียนบทโดยโรซาลินด์ รอส ผู้กำกับหญิงหน้าใหม่ที่สามารถทำผลงานออกมาได้น่าประทับใจตั้งแต่เรื่องแรก แม้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะมีสเกลที่ค่อนข้างใหญ่และมีองค์ประกอบที่หนักหน่วงก็ตาม
สำหรับใครที่ชื่นชอบภาพยนตร์แนวดราม่าที่เล่าเรื่องราวการเดินทางของชีวิตของคนผู้หนึ่งที่เปลี่ยนแปลงไปด้วยสาเหตุบางอย่าง เชื่อว่าคุณน่าจะชอบภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ไม่ยากเพราะมันเล่าถึงเรื่องราวของนักมวยคนหนึ่งที่ประสบปัญหาสุขภาพจนทำให้ชีวิตของเขาเปลี่ยนแปลงไปและต้องหันหน้าเข้าสู่ศาสนากลายเป็นบาทหลวงในที่สุด ระหว่างทางเขาต้องเผชิญกับอะไรมาบ้างสามารถติดตามรับชมได้ในภาพยนตร์
หนังดราม่า ภาษาอังกฤษ
เรื่องราวในภาพยนตร์เรื่อง FATHER STU
FATHER STU เป็นภาพยนตร์ที่จะเล่าถึงเรื่องราวของชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีชื่อว่าสจ๊วต ครั้งหนึ่งเขาเป็นนักมวยที่ประสบความสำเร็จในอาชีพอย่างงดงาม มันเป็นอาชีพที่ช่วยให้เขาสามารถเลี้ยงชีวิตต่อไปได้ แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นเมื่อสุขภาพไม่เอื้ออำนวยเหมือนแต่ก่อนอีกต่อไป เขาจึงต้องตัดสินใจแขวนนวมเอาไว้แม้ว่าตนเองนั้นจะชื่นชอบอาชีพนี้เท่าไหร่ก็ตาม
ชายหนุ่มได้เดินทางมุ่งหน้าเข้าสู่เมืองหลวงเพื่อตามความฝันอีกหนึ่งอย่างนั้นก็คือการเป็นนักแสดง ในวันหนึ่งเขาได้บังเอิญพบเข้ากับหญิงสาวสวยคนหนึ่งที่จะนำพาให้เขาได้รู้จักกับชีวิตใหม่ มันเป็นชีวิตที่เขาไม่เคยประสบพบเจอหรือสัมผัสมาก่อนนั่นก็คือศาสนานั่นเอง เธอได้พาเขาเข้าไปในโบสถ์คาทอลิกด้วยความศรัทธาอย่างเปี่ยมล้น ในตอนแรกเขาไม่ได้อะไรกับศาสนามากมายจนกระทั่งในวันหนึ่งเขาต้องเผชิญกับอุบัติเหตุจากรถจักรยานยนต์
เหตุการณ์ในครั้งนั้นเขาสามารถเอาตัวรอดมาได้อย่างปาฏิหาริย์ และมันก็ก่อให้เกิดความศรัทธาขึ้นมาในหัวใจ เขาจึงเปลี่ยนความมุ่งมั่นจากที่อยากจะเป็นนักแสดงกลายเป็นบาทหลวงแทนเพื่อเผยแพร่คำสอนของศาสนาคริสต์และช่วยเหลือเยียวยาผู้อื่นที่กำลังเผชิญกับความเดือดร้อน แต่ถึงอย่างไรก็ตามเขาต้องเผชิญกับบททดสอบเนื่องจากคนรอบข้างแทบจะไม่มีใครเชื่อหรือศรัทธาในตัวเขาเลยแม้แต่น้อย
ความรู้สึกหลังรับชมภาพยนตร์เรื่อง FATHER STU
FATHER STU เป็นภาพยนตร์ที่มีความเป็นศาสนาคริสต์สูงมาก แม้ว่ามันจะไม่ใช่ภาพยนตร์แนวเผยแพร่ศาสนาที่มานั่งสอนหลักคำสอนแบบชัดเจน แต่ก็มีการสอดแทรกแนวคิดและทัศนคติรวมไปถึงความศรัทธาในศาสนาเข้ามาตลอดทั้งเรื่องถือว่ายังคงทำออกมาได้ดีเนื่องจากไม่ได้เป็นการยัดเยียด แต่เป็นการสอดแทรกข้อคิดในหลายแง่มุมของชีวิตโดยเฉพาะประเด็นความสัมพันธ์ในครอบครัว ผ่านตัวละครหลักที่เผชิญกับอุปสรรคมากมายแต่พวกเขาก็สามารถประคับประคองกันและกันจนผ่านมาได้สำเร็จ
สิ่งที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ตกหลุมกับดักของตัวเองก็คือการเป็นภาพยนตร์แนวดราม่าทำให้เล่าเรื่องราวอืดอาดเชื่องช้าจนน่าเบื่อ การขาดความกระชับทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้กินเวลายาวนานถึง 2 ชั่วโมง ใช้เวลาปูเรื่องราวเกือบชั่วโมง กว่าจะจุดเครื่องติดก็ทุลักทุเลไม่น้อยเลยทีเดียว คงจะดีกว่านี้หากมีการถอดประเด็นดราม่าหลายประเด็นที่ไม่จำเป็นออกไปหรือมีการปรับการเล่าเรื่องราวให้มีความกระชับมากขึ้นกว่าเดิม
ในส่วนของนักแสดงนั้นไม่มีอะไรที่น่ากังวลใจเนื่องจากเป็นนักแสดงดาวดังอย่างมาร์ค วอห์ลเบิร์กที่สามารถจับบทบาทได้อย่างอยู่หมัดไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ครั้งนี้ขอพลิกบทบาทจากการวนอยู่ในลูปของภาพยนตร์แนว ACTION มาเฉิดฉายในภาพยนตร์แนวดราม่าแทน ซึ่งหากผู้เฉพาะเรื่องการแสดงของเขานั้นก็ถือว่าทำออกมาได้ดีเลยทีเดียว หากจะมีอะไรที่ไม่ถูกต้องก็คงจะเป็นบทและการนำเสนอที่ทำให้เขาแทบจะแบกภาพยนตร์เรื่องนี้เอาไว้ไม่อยู่ ในขณะเดียวกันเองยังมีนักแสดงเบอร์ใหญ่หลายคนไม่ว่าจะเป็นแจ็คกี้ วีเวอร์หรือเมลกิ๊บ สันที่เข้ามาสวมบทบาทเช่นเดียวกัน ซึ่งแต่ละคนก็สามารถทำออกมาได้ดีตามมาตรฐานของตัวเอง แต่น่าเสียดายที่บทไม่ได้พาให้พวกเขาไปถึงจุดที่โดดเด่นสักเท่าไหร่
โดยรวมแล้วภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นภาพยนตร์แนวดราม่าที่สามารถสอดแทรกคำสอนของศาสนาคริสต์เข้ามาได้อย่างกำลังกลมกล่อม น่าประทับใจ สำหรับใครที่เป็นชาวคริสเตียนรับชมแล้วน่าจะรู้สึกตามด้วยได้ไม่ยาก แต่ไม่ว่าคุณจะนับถือศาสนาไหนภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ยังคงสามารถสร้างความบันเทิงให้กับคุณได้อยู่ดี อย่างน้อยมันก็ได้สอดแทรกประเด็นข้อคิดเกี่ยวกับการใช้ชีวิตและความสัมพันธ์ในครอบครัวเข้ามาได้ไม่น้อย แต่สิ่งที่น่าเสียดายคือเสน่ห์ที่ขาดไป การเล่าเรื่องราวยืดเยื้อและจืดชืดจนแทบจะไม่มีอะไรโดดเด่นมากพอที่จะทำให้ผู้รับชมอย่างเรารู้สึกอยากจะจดจำ