ชื่อเรื่อง Come and See เอหิปัสสิโก
เรตติ้ง 8.5
นักแสดง
จำนวนตอน 1.25 ชั่วโมง

รีวิวหนัง Come and See เอหิปัสสิโก

รีวิวหนัง Come and See เอหิปัสสิโก ภาพยนตร์สารคดีสุดอื้อฉาวที่ตีแผ่เรื่องราวคดีวัดธรรมกาย อย่างที่เราทราบกันดีว่าศาสนาพุทธนั้นเป็นศาสนาหลักของประเทศไทยที่มีการนับถือกันมาอย่างยาวนาน แม้ว่าในปัจจุบันนี้วัยรุ่นส่วนใหญ่แม้แต่คนที่มีอายุแล้วหันมาตัดสินใจที่จะไม่นับถือศาสนากันมากยิ่งขึ้น แต่อย่างไรก็ตามศาสนาพุทธนั้นก็ยังคงเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของกลุ่มคนที่มีความศรัทธาในศาสนาเป็นอย่างมากอยู่ดี

และความศรัทธานั้นเองที่นำมาซึ่งเรื่องราวสุดอื้อฉาวมากมาย อย่างที่เราทราบกันดีว่าศาสนาพุทธในปัจจุบันนั้นได้เปลี่ยนแปลงไปจากหลักคำสอนหรือหลักของการปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าเคยได้วางเอาไว้ในอดีตเมื่อสองพันกว่าปีที่แล้วไปเป็นอย่างมาก  

จากในอดีตที่พระไม่สามารถจับเงินได้เพราะจะอาบัติ ในปัจจุบันพระรับกิจนิมนต์เป็นเงินแถมบางวัดนั้นมีการจำกัดเรทการรับกิจนิมนต์อีกด้วย ตู้บริจาคมากมายถูกวางอยู่เต็มวัดไปหมด ไม่ว่าจะเป็นตู้บริจาคที่จะนำเอาไปบริจาคให้กับคนอื่นอีกทีอย่างเช่นเด็กพิการหรือเด็กกำพร้า บางตู้บริจาคก็เป็นตู้บริจาคค่าสาธารณูปโภคภายในวัดเอง 

คนที่เคร่งและศรัทธาในคำสั่งสอนของพุทธศาสนาจริงๆ บางคนนั้นก็เลือกที่จะไม่บริจาคและไม่ให้เงิน แต่ถวายเป็นปัจจัยอย่างอื่นแทน แต่เราก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าการบริจาคเงินหรือการใส่บาตรด้วยเงินหรือแบงค์ 20 ที่เรานิยมชื่นชอบทำกันมานั้นเป็นการทำบุญที่สะดวกสบายแม้ว่ามันจะไม่ถูกต้องตามหลักคำสอนก็ตาม

ด้วยเหตุนี้ทำให้ศาสนาพุทธนั้นมีข้อขัดแย้งมากมายในประเทศไทยที่ยังคงกลายเป็นที่ถกเถียงถึงในปัจจุบัน โดยเฉพาะเรื่องพุทธพาณิชย์ที่นำเอาศาสนามาทำเป็นเหมือนกับเครื่องสร้างธุรกิจเพื่อทำรายได้ให้กับวัดต่างๆ และด้วยความที่คนไทยบางส่วนนั้นยังคงศรัทธาในศาสนาพุทธอยู่มากทำให้พุทธพาณิชย์นั้นยังคงสามารถดำเนินต่อไปได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

และหนึ่งในวัดที่เราไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่ามีพุทธพาณิชย์ในระดับสูงก็คือวัดธรรมกาย เรื่องราวสุดอื้อฉาวนี้ใหญ่โตขึ้นจนมันกลายเป็นคดีความในที่สุด แต่น้อยคนนักที่จะรู้เรื่องราวความจริงที่เกิดขึ้นภายในวัดธรรมกาย ก้อง ฤทธิ์ดี ผู้กำกับแนวภาพยนตร์สารคดีฝีมือดีจึงได้หยิบยกนำเอาเรื่องราวเหล่านี้มาเล่าเป็นภาพยนตร์สารคดีที่มีชื่อว่าเอหิปัสสิโก

เรื่องราวในภาพยนตร์สารคดีเรื่องเอหิปัสสิโก

เอหิปัสสิโก เป็นภาพยนตร์สารคดีที่หยิบยกนำมาเรื่องราวเกี่ยวกับคดีวัดธรรมกายซึ่งมีความละเอียดอ่อนและความอื้อฉาวมาบอกเล่าให้เราได้เห็นภาพชัดเจนมากยิ่งขึ้น ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าถือเป็นการกล้าได้กล้าเสียของทีมผู้สร้างเช่นเดียวกันที่หยิบยกนำเอาเรื่องราวละเอียดอ่อนขนาดนี้มาบอกเล่า

โดยจะอ้างอิงถึงเรื่องราวความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในปี 2560 ที่ในขณะนั้นประเทศไทยได้ปกครองโดยคณะรัฐประหารอย่างคสช. เป็นยุคที่มีการกวาดล้างสิ่งที่ผิดกฎหมายค่อนข้างมากโดยเฉพาะหากสิ่งนั้นอยู่ในกระแสสังคม ทำให้วัดธรรมกายซึ่งกำลังเป็นที่ถกเถียงในขณะนั้นถูกจับตามอง

นั่นก็เป็นเพราะว่าในขณะนั้นวัดธรรมกายนั้นได้มีการออกของมงคลมากมายมาวางขาย ลามไปจนถึงการจองพื้นที่บนสวรรค์ชั้นฟ้าในราคาที่สูงระยับ ทำให้ผู้คนในสังคมนั้นเกิดข้อคำถามมากมายถึงความถูกต้องในการนำเอาพุทธศาสนามาบิดเบือนคำสอนและยังนำเอามาสร้างรายได้ให้กับวัดจนมีพื้นที่ใหญ่โต มีสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ที่สวยงามมากมาย

ทำให้ในวันหนึ่งคณะรัฐประหารได้มีการส่งนายตำรวจจำนวนกว่า 30 นายเข้ามาล้อมวัดดังกล่าวเพียงเพื่อจับตัวเจ้าอาวาสอย่างพระธัมมชโยเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น นั่นก็เป็นเพราะว่าเจ้าอาวาสผู้นี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับในคดีการยักยอกเงินในสหกรณ์คลองจั่นซึ่งสร้างความเสียหายเป็นมูลค่าหลายล้านบาท

แต่อย่างไรก็ตามการเข้าจับกุมเจ้าอาวาสผู้นี้ไม่ง่ายนักเพราะวัดแห่งนี้มีลูกศิษย์ที่ศรัทธาและเลื่อมใสพระธัมมชโยเป็นจำนวนมาก ทำให้ลูกศิษย์นับพันคนพยายามรวมตัวกันปิดวัดตั้งตนเองเป็นโรคมนุษย์เพื่อขัดขวางไม่ให้เจ้าหน้าที่สามารถบุกเข้ามาภายในวัดและจับตัวพระธัมมชโยได้ ไม่เพียงเท่านั้นในระหว่างนั้นพวกเขายังรวมตัวกันเพื่อสวดมนต์อีกด้วย

ทำให้การจับกุมเจ้าอาวาสในครั้งนี้กลายเป็นสถานการณ์ที่ใหญ่โตจนถึงขั้นวิกฤต ภาพที่ออกมาจากสื่อในสมัยนั้นเป็นภาพที่ไม่ต่างจากที่เราเห็นในภาพยนตร์แนวเหนือธรรมชาติผสมผสานกับแนวแอ็คชั่น แม้ว่าในปัจจุบันนั้นเรายังจะไม่ทราบว่าพระธัมมชโยไปอยู่ที่ไหนแล้วก็ตาม แต่อย่างไรเรื่องนี้ก็ยังจะถูกจารึกในประวัติศาสตร์ของประเทศของเราไปอีกนาน

ความน่าสนใจของภาพยนตร์เรื่องเอหิปัสสิโก

เอหิปัสสิโกเป็นภาพยนตร์แนวสารคดีที่มีความจัดจ้านอย่างถึงที่สุด รับรองว่าคุณจะไม่รู้สึกเบื่อเหมือนกับการรับชมภาพยนตร์แนวสารคดีเรื่องอื่นอย่างแน่นอน เพราะสารคดีเรื่องนี้หยิบยกนำเอาประเด็นที่เต็มไปด้วยความละเอียดอ่อนและความดุเดือด บางส่วนนั้นก็เต็มไปด้วยความอื้อฉาวมาเล่าอย่างเปิดเผย ทั้งในฝ่ายศาสนา ความเชื่อ อุดมการณ์ การเมือง อำนาจ และความโลก

มีการเล่าเรื่องราวของหลายฝ่ายไม่ว่าจะเป็นฝ่ายพระในวัด ฝ่ายฆราวาส กองเชียร์ รัฐบาล สื่อมวลชน ที่ต่างฝ่ายนั้นต่างก็พยายามที่จะทำหน้าที่และพยายามให้ฝ่ายของตนเองได้รับผลประโยชน์จากเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ได้มากที่สุดโดยเฉพาะสื่อมวลชนที่คอยทำให้เรื่องราวมีความล้ามากยิ่งขึ้น

ภาพยนตร์เรื่องนี้ในช่วงแรกนั้นถูกเข้าใจว่าเป็นภาพยนตร์ที่ทำออกมาเพื่อเชียร์วัดธรรมกาย แต่ความจริงและภาพยนตร์เรื่องนี้พยายามอย่างยิ่งที่จะเล่าเรื่องราวความเป็นกลางมากที่สุด โดยให้พื้นที่และเวลาให้กับแต่ละฝ่ายอย่างพอเหมาะพอดีเพื่อให้ทุกคนได้แบ่งปันเรื่องราวในมุมของตนเองให้ผู้คนได้รับชม

ตัวอย่างหนัง Come and See เอหิปัสสิโก

รีวิว หนัง Come and See เอหิปัสสิโก จาก beartai

เป็นหนังสารคดีไทยที่คนดูแน่นถึงแถวหน้า ไม่ค่อยได้เห็นบ่อย ๆ นะครับ ไก่-ณฐพล บุญประกอบ คือผู้กำกับซึ่งเคยมีผลงานสารคดีเข้าฉายในบ้านเราแล้วก่อนหน้าอย่าง ‘2,215 เชื่อ บ้า กล้า ก้าว’ ว่าด้วยการวิ่งระดมทุนช่วยเหลือโรงพยาบาลรัฐจากเบตงถึงแม่สายของ ‘พี่ตูน’ ซึ่งกลายเป็นหนังยาวเรื่องแรกของณฐพล หลังเดินทางกลับมาจากเรียนต่อที่อเมริกาในสาขาภาพยนตร์สารคดีเพื่อสังคมที่ School of Visual Arts เมืองนิวยอร์ก

ทว่าในความเป็นจริงแล้วก่อนหน้าการวิ่งของพี่ตูน (โครงการก้าวคนละก้าว ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. -25 ธ.ค. 2560) หลายเดือนนั้น ณฐพลกำลังซุ่มเก็บฟุตเทจในหนังที่เขาอาจตั้งใจเป็นหนังยาวเรื่องแรกมากกว่า ทว่าด้วยความยากของเรื่องราวและความคุกรุ่นของอารมณ์ในสังคมช่วงนั้น (ก.พ. 2560) ก็ได้ทำให้ ‘เอหิปัสสิโก’ หรือ ‘Come and See’ ที่ตัวชื่อแปลได้ว่า ‘จงมาดูเถิด’ หนังที่นำเสนอข้อถกเถียงทางสังคม ว่าด้วยประเด็น ‘วัดพระธรรมกาย’ จึงเพิ่งได้ทำออกมาเสร็จเรียบร้อยและได้รับการอนุญาตให้ฉายเมื่อไม่นานมานี้เอง

และแม้ในความจริงหนังจะเคยตระเวนฉายในเชิงเพื่อการศึกษามาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนก็ตาม แต่เมื่อจะนำเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ทางผู้สร้างก็ถูกขอให้ชี้แจงเพิ่มเติมจากกองเซนเซอร์ จึงทำให้เกิดความหวั่นใจว่า อาจเป็นอีกครั้งที่หนังเกี่ยวกับพุทธศาสนา อาจถูก ‘ห้ามฉาย’ หรือ ‘หั่นฉาก’ จนไม่เหลือเค้าเดิม แต่แล้วด้วยการพูดถึงอย่างกว้างขวางในที่สุดหนังก็ผ่านการตรวจและออกฉายในที่สุด และข่าวการอาจถูกห้ามฉายนี้เองที่ทำให้หนังอยู้ในความสนใจของผู้คนที่สนใจเรื่องวัดพระธรรมกายเป็นทุนเดิม

ยิ่งเมื่อพิจารณาว่า บัดนี้ได้ผ่านล่วงเลยมากว่า 4 ปีแล้ว อารมณ์ความคิดอคติและสถานการณ์แวดล้อมได้เปลี่ยนไป การได้มองย้อนกลับไปดูเหตุการณ์ดังกล่าวผ่านหนังสารคดีเรื่องนี้อีกครั้ง ย่อมเป็นสิ่งที่น่าสนใจอย่างที่สุดแน่นอน

และหนังของณฐพลก็ไม่ได้ทำให้ผิดหวัง หนังใช้ความยาว 85 นาที ได้อย่างดี ไม่มากจนน่าเบื่อ เยิ่นเย้อ และไม่น้อยจนทอนพื้นที่การเล่าของฝั่งใดฝั่งหนึ่ง เราได้ ‘ฟังความ’ จากทั้งสองฝั่งความคิด คือผู้ศรัทธาในวัดพระธรรมกาย และผู้อคติต่อวัดพระธรรมกาย และที่น่าดีใจคือ เราได้เห็นความเห็นที่ ‘เข้าท่า’ และ ‘ไม่เข้าท่า’ จากทั้งสองฝั่งพอ ๆ กัน และเพื่อให้ผู้ชมพอมีหลักในการตามเรื่องราว ก็ยังสอดแทรกความเห็นที่ให้ทั้งข้อดี-ข้อด้อย จากปากนักวิชาการทางศาสนาและสังคมหลายคนที่ไม่ได้มีผลประโยชน์ร่วมในเหตุการณ์นี้เข้ามาด้วย

หนังเรื่องนี้เกือบจะเป็นการซ่อนของผู้สร้างอย่างสมบูรณ์ตามอุดมคติหนังสารคดีประเภทหนึ่งที่อยากให้ผู้ชมสัมผัสใกล้ชิดกับประเด็นของหนังโดยไม่มีผู้สร้างเข้าไปแทรกแซง เพราะเราแทบไม่เห็นทีมงานผู้สร้างในหนัง ทว่าตลอดเรื่องเราก็ยังได้เห็นบุคคลในหนังสารคดีพูดคุยกับ ‘ไก่’ ซึ่งหมายถึงตัวณฐพลอยู่หลายครั้ง และบางครั้งก็มีเสียงของณฐพลแทรกเข้าไปในหนังด้วย จึงเชื่อได้ว่าณฐพลน่าจะต้องการให้ผู้ชมระลึกอยู่เสมอว่าความจริงตรงหน้าเป็นการที่เขาเข้าไปถ่ายทำ และยากที่จะไม่มีสิ่งที่เรียกว่า อคติของผู้สร้างเจือปน

อคติของผู้สร้างที่ว่า อาจถูกถ่ายทอดมาอย่างจงใจและไม่รู้ตัวได้ทั้งสิ้น บางฉากเราเห็นการแช่ภาพค้างนานผิดปกติ บางฉากต่อลำดับกับประเด็นที่พูดก่อนหน้าแล้วตีความได้อีกแบบ หรือแม้แต่บางฉากที่ไม่จำเป็นต้องใส่มา แต่ก็ปรากฏในหนัง เหล่านี้จึงทำให้เห็นว่าณฐพลก็แฟร์กับผู้ชมพอสมควรที่จะบอกว่าหนังมีอคติอ่อน ๆ และจะได้ให้ผู้ชมใช้ปัญญาของตนพิจารณาสาระของหนังด้วยจนเอง

เราคงชี้ไม่ได้ว่าในหนังนั้นฝ่ายไหนถูกหรือฝ่ายไหนผิด แม้บางคนตั้งใจเข้าไปดูแบบมีธงล่วงหน้า บางคนเป็นคนที่ไม่นิยมวัดพระธรรมกาย บางคนก็เป็นคนที่เข้าวัดพระธรรมกายมาหลายสิบปี โรงหนังที่ผมได้ชมวันนี้อยู่ที่รังสิตก็นับว่าใกล้เคียงวัดพระธรรมกายมากที่สุดสำหรับโรงหนังที่มีการฉาย ได้เห็นอากัปกิริยาของผู้ชมหลากหลาย มีทั้งนักเรียนนักศึกษา ประชาชนที่สนใจ และคงไม่น้อยที่อาจเป็นศิษย์วัดพระธรรมกาย (อันสังเกตได้จากเสียงหัวเราะต่อบางฉาก)

ทว่าเชื่อได้ว่าหนังก็มีพลังเพียงพอที่จะทำให้คนที่ไม่ว่ามีความเชื่ออคติเดิมมาทางฝั่งไหน เมื่อได้ชมหนังเรื่องนี้ ย่อมต้องได้ฉุกคิดบ้างไม่มากก็น้อย ว่าแท้จริงความยึดมั่นในความคิด (และความดี) ของเราเองก็อาจเป็นมิจฉาทิฏฐิได้ในทุกโอกาส อย่างน้อยเมื่อถึงฉากท้าย ๆ ของหนังที่มีผู้พูดว่า ‘คนตาบอด ไม่เชื่อว่ามีดวงอาทิตย์อยู่ แต่ดวงอาทิตย์นั้นก็ยังตั้งอยู่ เรามีความจริงและความดีในแบบของเรา สักวันหนึ่งคนตาบอดย่อมเข้าใจ เพราะความจริงไม่อาจลบหายได้’ นั้น หากผู้ได้ชมมีเสี้ยวหนึ่งในใจว่า จะมั่นใจได้อย่างไร ว่าเราไม่ใช่ ‘คนตาบอด’ นั้นเสียเอง หนังเรื่องนี้ก็ถือว่าประสบความสำเร็จยิ่งยวดแล้ว

beartai

Leave a Comment

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *