ชื่อเรื่อง | BULLET TRAIN |
เรตติ้ง | 7.5 |
นักแสดง | Brad Pitt,Joey King,Sandra Bullock,Hiroyuki Sanada |
จำนวนตอน | 2.07 ชั่วโมง |
รีวิวหนัง BULLET TRAIN
รีวิวหนัง BULLET TRAIN ภาพยนตร์เกาหลีแนวต่อสู้สุดเดือดที่ตกม้าตายเพราะบทพูดเยอะเกิน คนที่ชื่นชอบการรับชมภาพยนตร์แนวต่อสู้สิ่งที่ต้องการรับชมคือฉากการต่อสู้ผสมผสานกับเนื้อเรื่องที่เต็มไปด้วยความเข้มข้นน่าติดตาม อาจมีดราม่าแฝงเข้ามาบ้างแต่ก็เป็นในจำนวนที่กำลังพอดีไม่เยอะจนเกินไป ส่วนใหญ่ภาพยนตร์แนวนี้มักจะมาพร้อมกับการสืบสวนสอบสวนหรือหาอะไรบางอย่างที่เป็นต้นตอของการต่อสู้ ทำให้ภาพยนตร์มีความน่าสนใจมากขึ้นกว่าเดิม แต่อย่างไรก็ตามจุดนี้ก็สามารถกลายมาเป็นจุดอ่อนของภาพยนตร์ได้เช่นเดียวกัน เพราะมันจะทำให้ตัวละครพูดเยอะจนเกินไปและทำให้ฉากการต่อสู้น้อยลง
หนึ่งในภาพยนตร์ที่ทำออกมาได้ค่อนข้างดีแต่ดันตกม้าตายตรงจุดที่เราว่าก็คือภาพยนตร์ที่เราจะมาแนะนำกันในวันนี้อย่าง BULLET TRAIN ภาพยนตร์ที่เล่าถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในรถไฟหัวกระสุนขบวนหนึ่ง เป็นรถไฟที่ไม่มีใครอยากจะโดยสารไปอย่างแน่นอนเพราะมันเต็มไปด้วยเหล่านักฆ่ามากฝีมือจากทั่วทั้งโลก ดังนั้นนี่จึงเป็นภาพยนตร์ที่ขนทัพนักแสดงฮอลลีวูดมารวมตัวกันแบบคับจอ
หนังแอคชั่น พากย์ไทย
เป็นการนำเอานวนิยายแนวระทึกขวัญยอดนิยมมาดัดแปลงและร้อยเรียงออกมาเป็นภาพยนตร์ที่เราได้รับชมกัน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือภาพยนตร์เรื่องนี้กลับเต็มไปด้วยบทพูดที่มากมายจนเกินไป ซึ่งไม่น่าแปลกใจอะไรเนื่องจากมันดัดแปลงมาจากนวนิยายที่ดำเนินเรื่องราวผ่านการพูดคุยมากกว่าการเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมากกว่าอยู่แล้ว ทำให้เมื่อภาพยนตร์เรื่องนี้จั่วหัวว่าเป็นภาพยนตร์แนวต่อสู้มันจึงทำให้ผู้รับชมรู้สึกผิดหวังเนื่องจากตัวละครเอาแต่พูดคุยกันมากกว่าการต่อสู้นั่นเอง อย่างไรก็ตามภาพยนตร์เรื่องนี้จะคุ้มค่ากับการเข้าไปรับชมในโรงภาพยนตร์หรือไม่ วันนี้เราจะพาทุกคนไปหาคำตอบกัน เรื่องราวในภาพยนตร์เรื่อง BULLET TRAIN
BULLET TRAIN เป็นภาพยนตร์ที่จะเล่าถึงเรื่องราวของนักฆ่าดวงซวยคนหนึ่งที่มีชื่อว่าเลดี้บัค เขาเป็นนักฆ่าที่เหมือนกับถูกพระเจ้ากลั่นแกล้งอยู่ตลอดเวลาเนื่องจากเขามักจะต้องพบเจออะไรก็ตามที่สร้างความเซอร์ไพรส์ให้กับตนเองอยู่เสมอ ดังนั้นชีวิตของเขาจึงตั้งอยู่บนความไม่แน่นอนและความเสี่ยงอันตรายอยู่ตลอดเวลาจากอาชีพของตนเอง
เพราะชีวิตต้องเผชิญแต่เรื่องที่ทำให้ต้องปวดหัวและเจ็บช้ำน้ำใจแถมยังดวงกุดอยู่เป็นประจำเขาจึงต้องการที่จะพักงานเพื่อเดินทางไปท่องเที่ยวในประเทศญี่ปุ่นเพื่อที่จะได้สงบจิตสงบใจของตัวเองให้พร้อมกลับมารับงานใหม่อีกครั้ง แต่ใครจะรู้ว่าการพักผ่อนในครั้งนี้กลับไม่เป็นอย่างที่เขาคาดหวังเอาไว้
โชคชะตาเล่นตลกให้เขาได้รับภารกิจสำคัญหลังการขโมยกระเป๋าปริศนาใบหนึ่งที่อยู่บนรถไฟหัวกระสุนชินคันเซ็น ที่ทำให้ต้องพบเจอกับนักฆ่ามือฉมังทั่วโลกที่แต่ละคนนั้นล้วนแล้วแต่มีเป้าหมายที่เกี่ยวข้องกัน เมื่อเหล่านักฆ่ามารวมตัวกันในรถไฟที่วิ่งด้วยความเร็วสูงจนไม่แตกต่างอะไรกับห้องปิดตายทำให้ความโกลาหลเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การต่อสู้ได้เริ่มต้นขึ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เขาต้องเลือกระหว่างการต่อสู้หรือไม่ก็ต้องพยายามหาทางออกจากรถไฟที่วิ่งด้วยความเร็วสูงให้สำเร็จ สุดท้ายแล้วชะตากรรมจะพาเขาไปพบเจอกับอะไรบ้างหลังจากนี้ เราต้องไปติดตามรับชมกันต่อในภาพยนตร์ และนี่คือความรู้สึกหลังรับชมภาพยนตร์เรื่อง BULLET TRAIN
BULLET TRAIN เป็นภาพยนตร์ที่บอกกับทุกคนว่านำเสนอเรื่องราวแนวต่อสู้ก็จริงแต่ความเป็นจริงแล้วมันมีการผสมผสานความตลกลงไป ส่วนหนึ่งอาจเกิดจากการที่ผู้กำกับคือเดวิด ลิตช์ที่เคยฝากผลงานสร้างชื่ออย่าง DEADPOOL 2 และ ATOMIC BLONDE แม้ว่าภาพยนตร์เรื่องหลังจะเป็นภาพยนตร์แนวต่อสู้จริงจัง แต่กับภาพยนตร์เรื่องนี้เขาไม่ได้ทิ้งกลิ่นอายความเป็น DEADPOOL ออกไปแต่อย่างใด มันจึงยังคงมีกลิ่นอายความตลกร้ายที่ทำให้เราสามารถหัวเราะในลำคอได้ แต่ก็ตามมาด้วยบทพูดที่ยืดเยื้อเช่นเดียวกัน
โชคดีที่ผู้กำกับผู้นี้มีประสบการณ์และรู้ดีว่าควรเล่าเรื่องราวอย่างไรกับภาพยนตร์แนวต่อสู้บู๊ระห่ำในพื้นที่จำกัดอย่างรถไฟหัวกระสุนขบวนเดียว ดังนั้นในฉากการต่อสู้เราจึงสามารถไว้ใจได้เลยว่าเขาสามารถทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมแน่นอน สำหรับผู้รับชมที่ต้องการจะรับชมฉากการต่อสู้จึงรู้สึกเสียดายเนื่องจากส่วนที่ทำได้ดีกลับทำออกมาให้เราได้รับชมเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น ดูแล้วไม่อิ่มสักเท่าไหร่
ตลอด 2 ชั่วโมงของการเล่าเรื่องราวที่ดูเหมือนจะนานเกินไปสำหรับภาพยนตร์แนวต่อสู้เต็มไปด้วยข้อผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ตามทางมากมาย สิ่งที่เป็นจุดบกพร่องมากที่สุดของภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือบทพูดที่มากจนเกินไป ในตลอด 30 นาทีแรกเราแทบจะไม่ได้เห็นฉากการต่อสู้เลยเพราะเป็นการปูเรื่องราวด้วยการสนทนาเพียงแค่อย่างเดียวเท่านั้น ทำให้ช่วงนี้เป็นช่วงที่น่าเบื่อมากที่สุดสำหรับภาพยนตร์แม้ว่าจะมีการใส่มุกตลกเข้ามาบ้างก็ตามแต่ก็ไม่สามารถสร้างอารมณ์ร่วมให้กับผู้รับชมได้สักเท่าไหร่
สิ่งที่ช่วยพยุงภาพยนตร์เรื่องนี้ให้มีความน่าสนใจขึ้นมาได้ก็คือเหล่านักแสดงระดับฮอลลีวูดชื่อดังที่มารวมตัวกันมากมายไม่ว่าจะเป็นแบรด พิตต์ที่มารับบทนำ โจอี้ คิงที่มาปรากฏตัวให้เราได้กรี๊ดกร๊าด นอกจากนี้ยังมีไบรอัน ไทรี เฮนรีและแอรอน เทย์เลอร์- จอห์นสันอีกด้วย การกระจายบทถือว่าทำได้ค่อนข้างดี ไม่มีใครที่โดดเด่นไปมากกว่าใครถึงขนาดนั้น และด้วยฝีมือการแสดงที่ยอดเยี่ยมทำให้รถไฟขบวนนี้สามารถเคลื่อนที่ไปข้างหน้าได้ตลอดทางแม้ว่าจะเผชิญกับเส้นทางที่ขรุขระไปบ้างก็ตามที