ชื่อเรื่อง | 365 Dni |
เรตติ้ง | 3.3 |
นักแสดง | Anna Maria Sieklucka,Michele Morrone,Otar Saralidze |
จำนวนตอน | 1.54 ชั่วโมง |
รีวิวหนัง 365 Dni Netflix
รีวิวหนัง 365 Dni Netflix ภาพยนตร์สุดอีโรติคที่กลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสม ปกติแล้วเวลาที่มีภาพยนตร์แนวอีโรติกออกมาอย่างเช่นภาพยนตร์เรื่อง Fifty Shades Of Grey แน่นอนว่าประเทศไทยที่เป็นเมืองพุทธนั้นย่อมมีการตั้งคำถามกลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมาถึงความเหมาะสมในการฉายภาพยนตร์ที่มีฉากล่อแหลมเกี่ยวกับเรื่องเพศอย่างโจ่งแจ้ง แต่อย่างไรก็ตามปัจจุบันนี้เราได้มีความตระหนักมากยิ่งขึ้นและว่าภาพยนตร์นั้นก็เป็นศิลปะอีก 1 แขนงที่สามารถนำเสนอออกมาได้แบบไร้ขีดจำกัด
แต่สุดท้ายแล้วไม่วายภาพยนตร์เรื่อง 365 Dni ซึ่งเป็นภาพยนตร์อีโรติกเช่นเดียวกันก็ได้กลายมาเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสมอีกครั้ง แต่ในครั้งนี้มันไม่ได้เป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับฉากล่อแหลมเกี่ยวกับเรื่องเพศ แต่เป็นการวิพากษ์วิจารณ์ถึงความถูกต้องเหมาะสมของตัวละครชายที่กระทำการผิดกฎหมายแต่มันกลับถูกเล่าออกมาในเชิงความรักโรแมนติกอิโรติกแทน
แต่พอกลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์กลับกลายเป็นว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้นไปอีก ทำให้ช่วงเวลานั้นคนส่วนใหญ่หาภาพยนตร์นี้รับชมและมีการออกมาพูดคุยกันในวงกว้างมากยิ่งขึ้น ถือว่ามันเป็นภาพยนตร์ที่สามารถสะท้อนให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในสังคมของเราได้เป็นอย่างดีโดยเฉพาะในกรณีที่เราควรจะใส่ใจอย่างเช่นการกระทำผิดกฎหมายที่ผู้ชายทำการลักพาตัวผู้หญิงโดยมีจุดประสงค์เรื่องเพศเป็นหลัก
ที่น่าเสียดายก็คือกระแสวิพากษ์วิจารณ์นอกจากประเด็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องแล้วแต่กระแสวิพากษ์วิจารณ์ในส่วนของความสนุกสนานกลับตกต่ำจนน่าเสียดาย อาจเป็นเพราะว่ามันถูกนำเอาไปเปรียบเทียบกับเรื่อง Fifty Shades Of Grey ด้วยทำให้หากดูให้ดีแล้วเราจะพบว่าแก่นเรื่องไม่ได้มีอะไรมากมายเลยแม้แต่น้อยหากเทียบกับภาพยนตร์เรื่องนั้น
เรื่องราวในภาพยนตร์เรื่อง 365 Dni
365 Dni เป็นภาพยนตร์ที่จะเล่าถึงเรื่องราวของชายหนุ่มที่มีชื่อว่ามัสซิโม เขานั้นทำงานเป็นมาเฟียที่เต็มไปด้วยอำนาจและมีผู้คนยำเกรง ไม่เพียงเท่านั้นเขายังมีใบหน้าที่หล่อเหลาพร้อมกับหุ่นที่ดีราวกับออกกำลังกายมาทั้งชีวิต มันไม่ใช่เรื่องยากเลยแม้แต่น้อยที่เขาจะสามารถหาผู้หญิงมาอยู่เคียงข้างกายได้ แต่เขาก็ยังคงทุ่มเทและมุ่งมั่นให้กับการทำงานจนไม่ได้มีเวลาไปสานสัมพันธ์กับผู้หญิงคนไหนจนกระทั่งเขาพบเข้ากับหญิงสาวที่มีชื่อว่าเลาร่าโดยบังเอิญ
หญิงสาวคนนี้เป็นนักธุรกิจที่ทั้งเก่งและสวย เธอกลายมาเป็นสาวในฝันของเขาตั้งแต่แรกพบ เขาไม่สามารถเอาเธอออกจากหัวได้เลยและต้องการที่จะครอบครองเธอเป็นอย่างมาก แต่โชคชะตาก็เล่นตลกเมื่อพ่อของเขาเสียชีวิตลงทำให้เขาต้องวุ่นวายเกี่ยวกับการจัดการทั้งงานศพของพ่อและธุรกิจที่จะต้องสานต่อจนเวลาผ่านไปยาวนานนับปี
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงมีหญิงสาววนเวียนอยู่ในหัวจนมันกลายเป็นความต้องการที่อยากจะครอบครองจนถึงขีดสุด สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจที่จะลักพาตัวเธอมาอยู่ด้วยกันโดยการทิ้งจดหมายเอาไว้ไม่ให้แฟนเก่าและเพื่อนของเธอตามหา เขายื่นข้อเสนอว่าเขาจะทำให้เธอตกหลุมรักตัวเองให้ได้ภายในระยะเวลา 365 วันและจะไม่แตะต้องตัวเธอแม้แต่น้อยหากเธอไม่ยินยอม แต่อย่ายั่วเด็ดขาดเพราะเขาอ่อนโยนไม่เป็น
ในช่วงแรกหญิงสาวรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมากที่ถูกจับตัวมา แต่เมื่ออยู่กันไปสักพักเธอก็เริ่มตกหลุมรักเขามากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายเธอจะตกเป็นของเขาอย่างสมบูรณ์แบบหรือไม่ต้องไปติดตามรับชมกันในภาพยนตร์
ความรู้สึกหลังรับชมภาพยนตร์เรื่อง 365 Dni
365 Dni เป็นภาพยนตร์แนวโรแมนติกอีโรติกที่หากรับชมให้ดีเราจะพบว่าแท้จริงแล้วเรื่องราวมันไม่ได้มีอะไรไปมากกว่าการพบกัน แอบรักข้างเดียว ลักพาตัว ทะเลาะกัน จากนั้นก็รักกันแบบดูดดื่มตลอดเวลา ที่สำคัญคือภาพยนตร์ไม่ได้มีดราม่าอะไรมากมายที่น่าสนใจ ไม่ได้ขยี้ปมเรื่องมาเฟียของตัวละครหลักอย่างพระเอกมากพอทำให้เรารู้สึกว่าพระเอกนั้นก็เหมือนกับเศรษฐีธรรมดาทั่วไปที่ไม่ได้มีชีวิตโลกผลอะไรมากมาย และที่สำคัญคือตอนจบจบแบบปลายเปิดเพื่อเปิดโอกาสให้สามารถทำภาค 2 ตามออกมาได้ ดังนั้นจะบอกว่าจุดจบของภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นจุดจบของความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็คงจะไม่ใช่ แต่ด้วยกระแสด้านลบที่ออกมาก็ทำให้ค่อนข้างยากที่จะมีการสร้างภาค 2 ต่อออกมาเหมือนกัน
แต่ถ้าพูดถึงฉากอีโรติกแล้วเราก็ต้องขอบอกเลยว่ามันเต็มไปด้วยความวาบหวิวและความล่อแหลมเป็นอย่างมาก มีงานเรียกได้ว่าเห็นอะไรต่อมิอะไรกันแบบเต็มๆ ตา เหลือเพียงแค่ 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่เรามองไม่เห็น ถึงอย่างนั้นกว่าฉาบแบบนี้จะออกมาก็ปาไปกว่าค่อนเรื่องแล้ว ยังดีที่ภาพยนตร์ยังมีการใส่ฉากแบบนี้เข้ามาเรื่อยๆ หลังจากที่มีครั้งแรกเป็นที่เรียบร้อยแล้วจนทำให้เราได้สัมผัสถึงความอีโรติกแบบจุใจเต็มที่
บทสรุปทั้งหมดของภาพยนตร์เรื่องนี้แทบจะไม่มีอะไรเลย ไม่มีจุดพีค ไม่มีไคล์แม็ก ดำเนินเรื่องราวเหมือนนิยายอิโรติกธรรมดาทั่วไปที่ไม่ได้มีอะไรน่าสนใจเป็นพิเศษหรือมีแนวคิดแหวกแนว ทำให้มันเป็นภาพยนตร์ที่เหมาะสำหรับการรับชมเพื่อฆ่าเวลามากกว่าถ้ามีเวลาว่างแล้วไม่รู้จะทำอะไร แต่สำหรับใครหลายคนมันยังคงไม่ใช่ภาพยนตร์ที่คุ้มค่าแก่เวลารับชม